×

Jim Rogers แนะ ‘สินค้าโภคภัณฑ์’ คือแหล่งเก็บเงินที่ดีที่สุดตอนนี้ ตราบใดที่รัฐบาลทั่วโลกยังเดินหน้าลดทอนคุณค่าสกุลเงินของตัวเอง

02.12.2023
  • LOADING...
Jim Rogers

Jim Rogers นักลงทุนผู้มีชื่อเสียงชาวอเมริกัน และผู้ร่วมก่อตั้งกองทุน Quantum Fund กับ George Soros กล่าวเตือนในการให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia ถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากของเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะมาถึง สวนทางกับราคาหุ้นในตลาดสหรัฐฯ ที่ดีดตัวขึ้นมาจากความหวังที่เหล่านักลงทุนเก็งว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้หยุดขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว

 

“ช่วงเวลาดีๆ กำลังใกล้ถึงจุดจบของมันแล้ว”

 

ถึงแม้ตัวของ Rogers จะเป็นชาวอเมริกัน แต่เขากลับเคยมีมุมมองบวกและมั่นใจกับเศรษฐกิจจีนอย่างมาก จนในปี 2007 เขาแต่งหนังสือที่มีชื่อว่า ‘A Bull in China: Investing Profitably in the World’s Greatest Market’ และยังเคยกล่าวกับสำนักข่าว Xinhua ในปี 2021 ว่า ลูกสาวทั้งสองของเขาต้องพูดภาษาจีนและรู้จักประเทศจีนในระดับที่ดีให้ได้

 

ตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2010 หุ้นสหรัฐฯ ที่ Rogers มองว่าเป็นตัวบ่งชี้หลักของเศรษฐกิจโลก มีระยะเวลาที่เป็นขาขึ้น “ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา ซึ่งสำหรับผมมันหมายความว่าขาขึ้นใกล้จบลงแล้ว”

 

Rogers ให้เหตุผลว่า จำนวนหุ้นที่อยู่ในขาขึ้นค่อยๆ มีน้อยลงไปทุกที นั่นเป็นสัญญาณที่กำลังบอกว่าช่วงเวลาที่ย่ำแย่นั้นอยู่อีกไม่ไกล “ทุกคนจะต้องเจอปัญหาในอีก 1-2 ปี และเมื่อถึงเวลานั้น มันจะเป็นปัญหาที่มีความร้ายแรงที่สุดในชั่วชีวิตของผมเลย”

 

ความเห็นล่าสุดนี้มีต้นตอมาจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่กดดันเศรษฐกิจโลกอยู่ โดย Rogers คาดว่า วิกฤตครั้งนี้จะใช้เวลาในการคลี่คลาย “ฟองสบู่ภาคอสังหาของจีนได้แตกแล้ว และมันจะใช้เวลาอีกนานกว่าทุกอย่างจะกลับมา”

 

ล่าสุดรัฐบาลจีนกดไฟเขียวอนุมัติการออกพันธบัตรมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (4.93 ล้านล้านบาท) เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งผิดกับเมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมาที่ไม่มีใครอยากให้รัฐบาลจีนกู้เงินเลย แต่ตอนนี้จีนสามารถกู้ได้เยอะขึ้นมาก และเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น “จีนกู้เงินอย่างมหาศาล แม้สถานการณ์ตอนนี้จะยังทำเช่นนั้นได้อยู่ แต่สุดท้ายปัญหาจะมาแน่” Rogers กล่าว

 

ส่วนอีกประเทศที่อยู่ใกล้จีนอย่างญี่ปุ่น Rogers ให้ความเห็นว่า ดัชนี Nikkei 225 มีแนวโน้มจะขึ้นกลับไปจุดสูงสุดเดิมตลอดกาลที่ 38,915 จุดได้ เพราะมีนักลงทุนรุ่นใหม่เริ่มเข้ามาในตลาด

 

อย่างไรก็ตาม Rogers ได้ขายหุ้นญี่ปุ่นของเขาไปแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขามีมุมมองลบแต่อย่างใด “ผมขายเพราะมันขึ้นสูงไปมากแล้ว” และโครงสร้างประชากรของญี่ปุ่นเองก็กำลังหดตัวลง หนำซ้ำยังมีแนวความคิดที่ไม่ค่อยจะเปิดรับต่างชาติมากเท่าที่ควร เหล่านี้เป็นปัจจัยที่ท้าทายกับเศรษฐกิจญี่ปุ่น

 

Rogers แนะนำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นยกเลิกการควบคุมดอกเบี้ยและให้กลไกตลาดทำงาน เนื่องจากตอนนี้ค่าเงินเยนอ่อนตัวลงมากเมื่อเทียบกับสกุลดอลลาร์

 

“ค่าครองชีพของทุกคนแพงขึ้น แม้ในระยะสั้นการอัดฉีดเงินอาจจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง แต่สุดท้ายแล้วมันไม่เคยมีประเทศไหนในประวัติศาสตร์ที่การลดทอนค่าเงินเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจจะสำเร็จได้ในระยะยาว”

 

สินทรัพย์ที่ Rogers มองว่ายังน่าลงทุนนอกเหนือจากหุ้นอสังหาและพันธบัตรก็คือ ‘สินค้าโภคภัณฑ์’ เช่น แร่เงิน และน้ำตาล ราคาร่วงลงกว่า 60-70% จากราคาสูงสุดของพวกมัน “ผมว่านั่นเป็นที่ที่ดีที่สุดในการไปลงทุนของคุณ เพราะเมื่อรัฐบาลพิมพ์เงิน คุณก็จำเป็นต้องป้องกันตัวเองโดยการถือสินทรัพย์ที่เป็นสิ่งของจริงๆ”

 

เทรนด์โลกที่เคลื่อนตัวไปสู่การปลอดคาร์บอนเป็นปัจจัยที่ดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองแดง นิกเกิล และแร่อื่นๆ ที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ EV และพลังงานสะอาด และหลายบริษัทก็กำลังจะผลักตัวเองออกจากแหล่งพลังงานแบบเดิม เช่น ถ่านหิน

 

“ผมรู้ว่าการจะกำจัดถ่านหินออกไปต้องใช้เวลาอีกนาน ตัวอย่างเช่น อินเดียและจีนยังต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานชนิดนี้อยู่ และในตอนนี้พลังงานสะอาดก็มีทดแทนไม่เพียงพอด้วย” ฉะนั้น ในมุมของ Rogers เขายังคาดว่าถ่านหินและพลังงานฟอสซิลจะอยู่กับโลกเราไปอีกสักระยะ

 

อ้างอิง: 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising