หลังจากที่ #กู้ภัยหล่อบอกต่อด้วย สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ในโลกโซเชียลในช่วงปฏิบัติการช่วยเหลือทีมหมูป่าทั้ง 13 ชีวิตที่ติดอยู่ภายในถ้ำหลวงช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา รูปภาพของ เจตน์-สมเจตน์ แซ่จาง อาสาสมัครกู้ภัยหน้าตี๋ของศูนย์มูลนิธิพระครูพิทักษ์พรหมวิหาร จังหวัดเชียงราย ที่รับหน้าที่เป็นล่ามภาษาจีนในปฏิบัติการครั้งนั้น ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
THE STANDARD จึงไม่พลาดที่จะชวน เจตน์ สมเจตน์ มาพูดคุยกันถึงประสบการณ์ที่ได้รับ รวมถึงทำความรู้จักตัวตนของผู้ชายคนนี้ให้เพิ่มมากขึ้น ก่อนที่เขาจะบินลัดฟ้ากลับไปศึกษาต่อที่ประเทศจีน
สำหรับโปรไฟล์ของหนุ่มวัย 19 ปีรายนี้ก็ต้องขอบอกว่าไม่ธรรมดา เพราะสนใจงานด้านกู้ภัยมาตั้งแต่เด็ก จบการศึกษาชั้นมัธยมปลายจากโรงเรียนเทศบาล 6 นครเชียงราย และสอบชิงทุนศึกษาต่อระดับชั้นปริญญาตรีที่จีนได้สำเร็จ ปัจจุบันเจตน์กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (IR) ที่มหาวิทยาลัยอู่ฮั่น ในมณฑลหูเป่ย ทางตอนกลางของประเทศจีน
ทำไมถึงสนใจงานด้านกู้ภัย งานด้านนี้มีเสน่ห์อย่างไร
ผมเรียนรู้งานด้านนี้มานานหลายปีแล้วครับ ก่อนหน้านี้ผมมักจะพบเห็นอุบัติเหตุบ่อยครั้ง แล้วผมรู้สึกว่าตัวผม ณ ตอนนั้นทำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้แม้แต่วิธีที่จะเข้าไปช่วยพวกเขาได้ ประกอบกับพอหลังเลิกเรียนผมว่างและอยากจะหากิจกรรมที่เป็นประโยชน์ทำ ผมก็เลยตัดสินใจไปสมัครเป็นอาสากู้ภัยครับ จำได้ว่าตอนนั้นไม่มีใครไปเป็นเพื่อน ผมก็ไปสมัครด้วยตัวคนเดียวเลยครับ
ผมว่าหัวใจของงานกู้ภัยคือการให้ความช่วยเหลือคน ผมรู้สึกภูมิใจกับทุกเคสที่ผมได้ออกไปช่วยพวกเขา เพราะผมและพี่ๆ ทำเต็มที่ ช่วยพวกเขาอย่างสุดความสามารถในทุกๆ ครั้ง
ภารกิจที่ถ้ำหลวงเป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้เราฟังหน่อย
ในวันนั้นผมกำลังเข้าเวรอยู่ที่มูลนิธิครับ แล้วทางหน่วยกู้ภัยของจีนก็แจ้งมาว่า พอจะมีใครที่สามารถสื่อสารเป็นภาษาจีนได้บ้างไหม พอหัวหน้าผมทราบเรื่องนี้ เขาก็เสนอตัวให้ผมไปเป็นล่ามภาษาจีนให้กับหน่วยกู้ภัยจีนทีมนี้ ซึ่งแทบจะเรียกได้ว่านี่เป็นงานล่ามงานแรกในชีวิตของผม
ที่ถ้ำหลวงผมได้ปีนผา ได้ขึ้นภูเขา ได้เห็นขั้นตอนและกระบวนการทำงานของกู้ภัยจีน เห็นอะไรใหม่ๆ วิธีการใหม่ๆ ก็ศึกษาเรียนรู้และจดจำเอาไว้ครับ ภารกิจที่นี่ให้ประสบการณ์อันล้ำค่าแก่ผม มีโอกาสดีๆ เข้ามามากมายและเริ่มที่จะมีคนรู้จักผมเพิ่มมากขึ้นครับ
กลับมาเรื่องการเรียน ทำไมถึงสนใจภาษาจีนและตัดสินใจสอบชิงทุนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ
ผมมีเชื้อสายจีนอยู่แล้วครับ แล้วผมก็ตกภาษาไทยตั้งแต่เด็กๆ ครับ (อมยิ้ม) ประกอบกับที่บ้านสนับสนุนให้เรียนพิเศษภาษาจีนเพิ่มเติมด้วยอยู่แล้ว ผมจึงสื่อสารภาษาจีนได้ประมาณหนึ่ง จึงตัดสินใจสอบชิงทุนไปเรียนต่อ พอผลสอบออกมาแล้วผมสอบติดมหาวิทยาลัยที่จีน ซึ่งก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ถือว่าโอเคเลยทีเดียว ผมจึงตัดสินใจเรียนต่อที่นั่นครับ
การเป็นนักการทูตคือหนึ่งในความฝันของคุณเหรอ อนาคตอยากจะทำอะไร ลองคิดไว้บ้างแล้วหรือยัง
ตอนแรกผมว่าผมจะเลือกธุรกิจระหว่างประเทศครับ แต่พอลองมาคิดดูแล้ว ที่บ้านเราก็ไม่ได้ทำการค้าขายขนาดนั้น เรียนไปแล้วก็อาจจะไม่เวิร์ก เรียนแล้วอาจจะไม่ได้นำไปใช้ ส่วนกฎหมาย ผมคิดว่าภาษากฎมหมายที่นี่ก็น่าจะยากเกินไปสำหรับตัวผม ผมเลยตัดสินใจเลือกเรียนการทูตดูสักตั้งครับ เพราะผมคิดว่าภาษาไทยของผมตอนนี้ก็ไม่ได้แย่มาก ภาษาจีนก็สามารถสื่อสารได้ ถึงแม้ว่าถ้าผมจบมาแล้วไม่ได้เป็นนักการทูตอย่างที่เรียนมา ผมก็ยังสามารถที่จะเป็นล่าม เป็นคนแปลภาษาได้ ประกอบกับเนื้อหาที่จะต้องเรียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของประเทศต่างๆ องค์ความรู้ตรงนี้ทำให้ผมคิดว่าถ้าเลือกเรียนด้านนี้จะมีอาชีพหลายอย่างที่ให้ผมทำได้
รุ่นพี่ที่เรียนอยู่เคยพาผมไปพบอดีตเอกอัครราชทูตไทยที่เดินทางมายังมหาวิทยาลัยของผมเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ท่านก็เล่าถึงขั้นตอนการสอบนักการทูตของไทยในรอบต่างๆ ให้ฟัง ซึ่งผมรับรู้ได้เลยครับว่ายากและกดดันมากๆ แต่ถ้ามีโอกาสผมก็อาจจะลองสมัครสอบดูสักครั้ง
ส่วนเรื่องอนาคตในการทำงาน ผมอยากจะตั้งใจเรียนให้จบเสียก่อน ผมคิดว่าอย่างน้อยเราควรจะต้องมีใบปริญญา ส่วนงานในวงการบันเทิง ผมมองว่าเป็นงานที่ไม่ค่อยแน่นอนอยู่แล้วครับ ผมอาจจะทำงานในวงการบันเทิงเป็นงานอดิเรก และผมจะต้องมีงานหลักที่มั่นคงเป็นของตัวเองอยู่ด้วยแล้วครับ ซึ่งถ้ายิ่งได้ใช้ความรู้และทักษะภาษาที่ร่ำเรียนมาก็อาจจะดีไม่น้อย
ประสบการณ์ที่จีนของคุณตลอด 1 ปีกว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าเป็นเรื่องเรียน ผมเรียนหนักมาก แทบจะไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยครับ จนบางครั้งก็แอบคิดว่าทำไมต้องมาเรียนหนักอะไรอย่างนี้ด้วย (อมยิ้ม) การแข่งขันที่นี่สูงมาก เพราะคลาสส่วนใหญ่ผมเรียนกับคนจีน อาจารย์จะไม่สนใจเลยว่าคุณจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ แล้วยิ่งอาจารย์บางท่านพูดภาษาท้องถิ่นด้วยแล้ว (หัวเราะ) ผมยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่เลยครับ
ที่ผ่านมาผมอาศัยติวเอง อ่านเอง ทำความเข้าใจเอง หนังสือทุกเล่มเราจะต้องหามาอ่านเพิ่มเติมด้วยตัวเอง สไลด์การสอนของอาจารย์ก็จะไม่มีการส่งไฟล์ให้นักศึกษาทั้งสิ้น แต่นักศึกษาสามารถถ่ายภาพได้ทีละสไลด์และนำไปเขียนเอง โดยห้ามเผยแพร์สไลด์ผ่านโลกออนไลน์ ซึ่งส่วนใหญ่ในห้องก็มักจะไม่ค่อยได้ฟังอาจารย์เท่าไรหรอกครับ เข้าไปถ่ายรูปเนื้อหาบางส่วนเอาไว้ก่อน
ส่วนเรื่องการใช้ชีวิต เพราะที่บ้านผมสอนให้พูดภาษาจีนกันมาตั้งแต่เด็ก ผมจึงมั่นใจเรื่องการสื่อสารระดับหนึ่ง ทำให้ผมไม่รู้สึกกลัว การใช้ชีวิตที่นี่ตัวคนเดียวจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับผมเลยครับ ส่วนตัวผมมองว่าภาษาไทยยากกว่าภาษาจีนด้วยซ้ำครับ ภาษาจีนมันคล้ายว่าเสียงตรงหมดเลยครับ ไม่เหมือนกับภาษาไทยที่มี ร ล คนจีนจะออกเสียงแบบนี้ได้ค่อนข้างลำบากครับ
และที่ผมสังเกตเห็นอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของการอาบน้ำสระผม หรือใส่เสื้อผ้าชุดเดิมติดต่อกันนานหลายวัน (อมยิ้ม) สำหรับผมนะครับ คนไทยเราก็จะชินกับการอาบน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้ากับเย็น แต่เพื่อนของผม 2-3 วันอาบครั้งหนึ่ง เสื้อผ้าก็ 2-3 วันค่อยเปลี่ยนใหม่ เพื่อนผู้หญิงผมบางคนก็ไม่อาบน้ำมาโรงเรียน ผมไม่รู้นะครับว่าคนอื่นคิดยังไง แต่ผมว่ามันเป็นวัฒนธรรมของพวกเขาไปแล้ว (หัวเราะ) แล้วพอจะนึกออกไหมครับ ผมตัวค่อนข้างสูงหรือเวลาผมยืนขึ้น ผมก็มักจะสังเกตเห็น ความหัวมัน ผมมันของเพื่อนๆ (หัวเราะ)
แต่ที่นี่ก็มีข้อดีที่ผมสัมผัสได้คือ คนที่นี่เขาขยันมาก ใช้เวลาทุกนาทีทุกชั่วโมงอย่างคุ้มค่า หลังเลิกเรียนก็จะรีบถือหนังสือไปจับจองที่นั่งในห้องสมุดแทบจะทุกวัน วันเสาร์และอาทิตย์ที่ผมจะมาติวหนังสือด้วยตัวเอง บางคนมาตั้งแต่เช้า ดึกมากแล้วเขาก็ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เดิมเลยครับ
สำหรับผมการเรียนที่จีนเรียกได้ว่าท้าทายไม่น้อย เพราะข่าวสารที่เราจะได้รับส่วนใหญ่เป็นเรื่องของผู้นำประเทศแทบทั้งนั้น เรียกได้ว่าประธานาธิบดีสีจิ้นผิงคือทุกอย่างของที่นี่ และที่สำคัญที่จีนยังบล็อกการเข้าถึงเว็บและแอปพลิเคชันที่ใช้ค้นคว้าหาความรู้ต่างๆ อย่างที่คนไทยคุ้นเคย ส่วนใหญ่ที่นี่เราจะติดต่อกันด้วย We Chat ครับ ก็อาจจะมีบ้างที่ต้องให้คนที่ไทยช่วยแคปข้อมูลส่งกลับมาให้บ้างเพื่อค้นหาข้อมูลต่อ สุดท้ายนี้ผมอยากจะขอบคุณประสบการณ์และโอกาสดีๆ ที่เกิดขึ้นตลอดช่วงปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมา แล้วพบกันใหม่ช่วงปิดเทอมใหญ่ครั้งหน้าครับ
สำหรับใครที่คิดถึงกู้ภัยหน้าตี๋คนนี้ก็อาจจะต้องเข้าไปติดตามเจตน์ได้ที่ instagram: somjetjet จนกว่าจะถึงช่วงปิดเทอมใหญ่ครั้งต่อไป ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็นผลงานของเจตน์อีกมากมายในวงการบันเทิง หรือไม่ประเทศไทยก็อาจจะมีนักการทูตหน้าหล่อมากความสามารถเพิ่มขึ้นอีก 1 คนก็เป็นได้
สไตลิสต์: ฐิติกาญจน์ กาญจนภักดี
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า