×

จตุพรชวนร่วมงาน 4/4/4 ชี้จะเป็นวันเริ่มใหม่อีกครั้ง ส่อชุมนุมยืดเยื้อ ภาวนาให้ข่าว 6 เม.ย. ปล่อยคนหนุ่มสาวพ้นคุก เป็นจริง

โดย THE STANDARD TEAM
03.04.2021
  • LOADING...
จตุพร พรหมพันธุ์

วันนี้ (3 เมษายน) จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เฟซบุ๊กไลฟ์ Peace Talk ก่อนถึงวันสุกดิบ การชุมนุมของประชาชนในรหัส 4/4/4 วันที่ 4 เมษา เวลา 4 โมงเย็น จะเกิดแรงกระเพื่อม เกิดเปลี่ยนแปลง บ้านเมืองได้เริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่อีกครั้ง

 

จตุพรเชื่อว่า การชุมนุม 4 เมษา 4 โมงเย็นนี้ จะมีประชาชนมาร่วมอย่างมืดฟ้ามัวดิน เพื่อขับไล่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะไม่อาจทนอยู่ภายใต้การปกครองของประยุทธ์และพรรคพวกได้อีกต่อไป 

 

“วันพรุ่งนี้ 4 เมษา 4 โมงเย็น จะเป็นการชุมนุมยืดเยื้อต่อวันที่ 5 หรือวันต่อๆ ไปแล้ว ต้องหารือกับประชาชนเป็นมติร่วมกันแบบวันต่อวัน เนื่องจากการชุมนุมในรหัส 4/4/4 เพื่อขับไล่ประยุทธ์นั้นเป็นการต่อสู้ระหว่างประชาชนกับประยุทธ์ ซึ่งไม่มีประโยชน์ส่วนตนอยู่เบื้องหลัง แต่เป็นสามัคคีประชาชนที่ต้องการให้เกิดการเริ่มต้นประเทศกันใหม่อีกครั้ง”

 

จตุพรกล่าวว่า ก่อนถึงวันสุกดิบการชุมนุมรหัส 4/4/4 ที่จัดในพื้นที่อนุสรณ์สถานพฤษภาประชาธรรม สวนสันติพร ซึ่งอยู่เยื้องโรงแรมรัตนโกสินทร์ โดย อดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานญาติวีรชนพฤษภา 35 ชวนนักประชาธิปไตยมาร่วมสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย ขับไล่ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีสืบทอดอำนาจเผด็จการ คสช. ตั้งแต่ยึดอำนาจเมื่อปี 2557

 

ในแนวคิดสามัคคีประชาชนนั้นเป็นการสะท้อนว่า การชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง หรือคู่ขัดแย้งกันตลอด 15 ปีที่ผ่านมา แต่นายอดุลย์ต้องการสื่อให้ประชาชนทุกฝ่ายยึดมั่นแนวทางหรือรูปแบบพฤษภา 35 ที่ต่อสู้กับรัฐบาลตระบัดสัตย์ ใช้รัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจ

 

ส่วนตนนั้นไปร่วมในฐานะปัจเจกชน โดยได้รับคำชวนจากนายอดุลย์ เพราะเคยร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์พฤษภา 35 กันมาจนลูกนายอดุลย์เสียชีวิตในการต่อสู้ สำหรับตนต้องรับไม้ต่อจากขบวนการชุมนุมที่ถนนราชดำเนินไปปักหลักต่อสู้ในพื้นที่ ม.รามคำแหง จนกระทั่งรัฐบาล พล.อ. สุจินดา คราประยูร ต้องพ้นจากตำแหน่งไป

 

“ถ้าตั้งข้อกล่าวหาว่าผมรับงานใครมา ผมตอบง่ายๆว่า ผมรับคำชวนของ คุณอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ อีกทั้งพรุ่งนี้ (4 เมษา เวลา 4 โมงเย็น) ไม่ได้เป็นเรื่องขององค์กรภาคประชาชนหรือองค์กรอื่นที่ขัดแย้งกันมาตลอด 15 ปี แต่ประยุทธ์กลับได้รับประโยชน์สูงสุดฝ่ายเดียวจากความขัดแย้งของภาคประชาชน ซึ่งมีแต่ความเจ็บปวด”

 

จตุพรส่งคำพูดถึงประยุทธ์ว่า การเตรียมกำลังตำรวจนั้นเกินความเป็นจริงไป เพราะการจัดการวันพรุ่งนี้ได้ขออนุญาตถูกต้อง จัดในสถานที่เฉพาะชัดเจน และไม่มีการเคลื่อนกำลังไปจุดใด ดังนั้นรัฐบาลควรอำนวยความสะดวกดูแลความปลอดภัยร่วมกัน แต่การระดมกำลังตำรวจทั่วประเทศนั้นเป็นการวิตกจริตเกินเหตุ เป็นความขี้ขลาด มากความกลัวจนเกินความจำเป็น

 

นอกจากนี้ตนมาร่วมชุมนุมด้วยการใช้เหตุผลสูงสุดระหว่างภาคประชาชนกับประยุทธ์เป็นหลักก่อน โดยต้องการสื่อสารถึงเรื่องรัฐธรรมนูญ, การทุจริต, การสืบทอดอำนาจ, ปัญหาสังคม, การบริหารเศรษฐกิจที่เหลวแหลกภายใต้การนำของประยุทธ์ โดยทั้งหมดนี้เราจะสื่อสารด้วยภาษาแบบวิญญูชน มาชำแหละความล้มเหลวของประยุทธ์

 

ส่วน พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ เตือน อย่าทำผิดกฎหมายและประยุทธ์คำรามให้ดูเหตุการณ์พฤษภา 53 นั้น จตุพรกล่าวว่า ไม่มีใครจะมีเจตนาเช่นนั้น เพียงแต่เราไม่อาจทนการบริหารบ้านเมืองของประยุทธ์ได้อีกต่อไป เพราะตระบัดสัตย์ ไม่เคยยึดปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาเลย

 

อีกอย่างในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อนถึงวันชุมนุม 4 เมษานี้ ตนตกเป็นเป้าหมายหลัก ถูกป้ายสี ใส่ร้าย ถูกบิดเบือนข้อเท็จจริงมาต่อเนื่อง แต่ตนกล้าพูดอย่างชัดเจนว่า การใส่ร้ายทำลายตนย้ายขั้วสลับร่างไปอยู่พรรค พปชร. ไปสังกัดฝ่ายเผด็จการ และรับงานมาทำลายคนเสื้อแดงนั้นเป็นข้อกล่าวหาที่เจ็บปวด ซ้ำร้ายยังถูกตอกย้ำด้วยการทำโพลให้บรรลุเป้าหมายอีก 

 

เมื่อมีคำถามว่า ย้ายขั้ว สลับข้าง ไปอยู่กับเผด็จการ ไปเป็นฝ่ายรัฐบาล แน่นอนคงไม่มีใครต้องการให้ตนอยู่ในตำแหน่ง (ประธาน นปช.) นี้อีกต่อไป แต่เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความเท็จ ตนรอวันตามที่ประกาศว่ามีตัวเองภูมิต้านทานด้านอิสรภาพต่ำมาก จึงต้องใช้ในวันจำเป็นตามข้อจำกัดนี้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย

 

“ตลอดเวลาของผมตั้งแต่วัยเด็กถึงปัจจุบัน เรามีจุดยืนถึงความเจ็บปวด คนเราถ้าชั่วคงชั่วมาแต่ต้น ไม่ต้องรอติดคุกถึง 4 ครั้ง ถูกดำเนินคดียาวเป็นหางว่าว ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ไม่มีอนาคตทางการเมือง มีชีวิตอยู่แบบยากลำบาก ใครรู้จักผมแล้วต้องรู้ว่าผมมีชีวิตอย่างคนเดือดร้อนคนหนึ่ง”

 

ในวันนี้จึงไม่ใช่ความรู้สึกส่วนตัว แต่เป็นเส้นทางที่เราเลือกเดินตามอุดมการณ์ และดำรงจุดยืนตลอดเส้นทางที่ผ่านมา ดังนั้น 4 ครั้งที่เข้าคุกนั้นลูกเห็นตนใส่ชุดนักโทษ ถูกใส่โซ่ตรวน ในห้วงชีวิตของเขานับครั้งไม่ถ้วน แต่เรายังเลือกหนทางนี้ เพราะชีวิตเราเป็นชะตากรรมอย่างยากจะหลีกเลี่ยงได้ 

 

ดังนั้นการชุมนุมในพื้นที่วันที่ 4 เมษา เวลา 4 โมงเย็น จึงเป็นเรื่องความยากลำบาก โดยจะเป็นเปิดไพ่ใบแรกหรือเริ่มยกแรกเพื่อพิสูจน์ว่าไปได้หรือไม่ แม้ท่ามกลางเสียงปรามาสว่าไม่มีคนเข้าไปร่วม ต้องนั่งตบยุงกัน แต่ตนเชื่อว่าฝ่ายการข่าวไม่ได้คิดเช่นนั้น เนื่องจากรู้อารมณ์ความรู้สึกของประชาชนที่ต้องอดทนอยู่ภายใต้การปกครองของประยุทธ์นั้นมีความทุกข์กันอย่างไร

 

“ผมเชื่อว่าวันพรุ่งนี้ 4 เมษา 4 โมงเย็น คนจะล้นเต็มความจุของอนุสรณ์สถานฯ และผมคงประสานงานกับตำรวจเป็นระยะกรณีเหตุประชาชนมากันจำนวนมาก ผมพูดชัดเจนว่า การต่อสู้ให้ประยุทธ์ออกไปนั้น ถ้าคนไม่เห็นชอบด้วย ผมก็ต้องรู้ตัวเองเหมือนกัน คุณอดุลย์และคนอื่นก็ต้องรู้เฉกเช่นเดียวกัน แต่ถ้าประชาชนที่ประกาศไม่ทนให้ประเทศไทยถูกประยุทธ์ปกครองอีก 6 ปีแล้ว ในวันพรุ่งนี้จะเกิดความสามัคคีกัน”

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อแต่ละองค์กรมีประวัติศาสตร์ความเจ็บปวดมาตลอด 15 ปี ถ้าไม่ร่วมมือกันแล้ว ประยุทธ์คงได้อยู่ในตำแหน่งอีกต่อไป ดังนั้นตนได้หารือกับอดุลย์เพื่อไม่ชวนองค์กรมาร่วมชุมนุมด้วย เพราะองค์กรมีประวัติศาสตร์ความสูญเสียกันทั้งนั้น ทั้งเสื้อแดง พันธมิตรฯ และ กปปส. ซึ่งความเจ็บปวดเช่นนี้ตนเข้าใจ

 

ในวันพรุ่งนี้คนที่ยืนอยู่แถวหน้าของแต่ละฝ่ายต้องทนแบกรับกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย แต่ต้องแลกกับอนาคตของประเทศ ต้องแลกกับการอยู่หรือไปของประยุทธ์ ถ้าเราเอาแค่ความรู้สึกของเราแล้ว ประยุทธ์ก็จะต้องอยู่อย่างน้อย 6 ปี หรือ 10 ปี หรือมากกว่านั้น เพราะสิ่งนี้คือโลกความเป็นจริง

 

ทั้งนี้ ตนมีการข่าวที่น่าเชื่อถือได้ว่า ถัดจากนี้คือในวันที่ 6 เมษายนนี้ คนหนุ่มสาวที่สูญสิ้นอิสรภาพอยู่ในเรือนจำพิเศษหรือในสถานคุมขังอื่นๆ จะได้รับอิสรภาพ ซึ่งตนภาวนาให้ข่าวนี้เป็นความจริง เพราะคนหนุ่มสาวเหล่านั้นได้หลงเชื่อประยุทธ์ที่จะไม่เอาผิดในมาตรา 112 แล้วต่อมาเอาผิด สถาบันฯ ได้รับผลกระทบทั้งขึ้นและล่อง รวมทั้งอนาคตของชาติถูกจับขังคุก ส่วนประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งนายกฯ ต่อไป

 

สิ่งเหล่านี้เราจะพูดกันในวันพรุ่งนี้ 4 เมษา 4 โมงเย็น และภายใต้รหัส 4/4/4 ประยุทธ์ออกไป จะเป็นความร่วมมือและเป็นจุดเริ่มต้นของประชาชน แม้ไม่ได้มาทั้งหมดก็ตาม แต่เชื่อว่าหลายคนต่างรอการตัดสินใจ เพราะไม่รู้ว่าประชาชนจริงๆ คิดอะไร ส่วนตนแล้วทั้งชีวิตไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องสูญเสียอะไร จึงตัดสินใจได้ง่ายดาย เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง 

 

จึงขอชวนประชาชนมาร่วมในวันพรุ่งนี้ 4 เมษา 4 โมงเย็น ซึ่งจะเป็นความหลากหลาย รูปแบบเวทีจะประยุกต์กันตามหน้างาน เพราะแน่นอนที่สุด แรงกระเพื่อมในสังคมในวันพรุ่งนี้จะแรงมาก 

 

“ในสนามรบนั้นผมจะต่อสู้โดยไม่มีอะไรต้องหวั่นวิตกกระทั่งชีวิต แม้ตัวตนจะถูกทุกฝ่ายทำลาย ทั้งศัตรูข้างหน้า อดีตมิตรข้างหลัง และคนรอบข้าง แต่ผมมีความอดทน เพราะรู้ว่าผมอยู่ในถนนสายนี้ไม่เปลี่ยนแปลง มีจุดยืนมาตลอดชีวิต มีความเป็นตัวตนของตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร จึงขอบอกกับพี่น้องว่า วันพรุ่งนี้จะเป็นการเริ่มต้นประเทศไทยกันใหม่ และบอกกันอีกครั้งว่า ถ้าประชาชนไม่เอาด้วย ผมก็จะพิจารณาตัวเอง เพราะหลายคนดูถูก ปรามาส เหยียดหยาม ถากถาง ย่อมเป็นพลังเสมอ”

 

จตุพรย้ำว่า ถ้าไม่มีประชาชนเข้าร่วม ตนก็ต้องพิจารณาตามความเป็นจริงว่าประชาชนยังเอาด้วยกับประยุทธ์ และถ้าวันที่ 4 เมษา เวลา 4 โมงเย็น ประชาชนมาอย่างมืดฟ้ามั่วดินแล้ว ตนเชื่อว่าสถานการณ์จะเปลี่ยน โดยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้นอย่างมีความชัดเจนขึ้น

 

รวมทั้งในวันพรุ่งนี้ขอประชาชนสบายใจได้ เพราะเราปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง มีการตรวจโควิด-19 ทุกขั้นตอน และขอตำรวจมาร่วมตรวจอาวุธและสิ่งผิดกฎหมายด้วย เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจต่อกันว่าเป็นการรวมตัวของประชาชนอย่างไม่มีเงื่อนไข ต้องการแค่ให้ประยุทธ์ออกไป เพื่อให้ประเทศไทยได้เดินหน้า

 

“เมื่อเดินมาถึงจุดนี้ ถ้าประชาชนมีมติให้ชุมนุมกันต่อในวันรุ่งขึ้น พวกเราก็กำลังหารือกันอยู่ว่าเราอาจจะต่ออีก ในวันที่ 6 เมษา จะมีการนัดหมายของพี่น้องกลุ่มอื่นอยู่แล้ว เราก็จะเว้นหนึ่งวัน แล้วหลังจากนั้นเราจะต่อวันที่ 7 และ 8 หรือวันต่อๆ ไปก็ได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจกันในวันพรุ่งนี้”

 

จตุพรกล่าวว่า วันที่ 4 เมษา คือการเริ่มชุมนุมวันแรก เพื่อตัดสินใจว่าจะไปได้หรือไม่ โดยเชื่อว่าการทำอะไรที่ไม่ทำเพื่อตัวเองนั้น ตนวาดหวังว่าประชาชนจะมีความเข้าใจและจะออกมาร่วมในเส้นทางนี้ร่วมกัน

 

“พรุ่งนี้ 4 เมษา 4 โมงเย็น ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นประตู จะเป็นบันไดสำหรับทางออกของชาติบ้านเมือง ถ้าไม่เริ่มต้นก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาประเทศชาติได้ การทำลายล้างหรือฆ่าผมคิดว่าสถานการณ์นี้จบ คุณคิดผิด และอยากทำลายก็ทำลายไป แต่ผมยืนยันจะขับไล่ จะต่อสู้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โดยไม่มีเรื่องส่วนตัวใดๆ”

 

อีกอย่าง ถ้าประยุทธ์ยึดมั่นคำมั่นสัญญา ไม่สืบทอดอำนาจ ไม่ให้มีการร่างรัฐธรรมนูญที่เอาเปรียบเหมือนพินัยกรรมบาป เขียนให้ผู้รับมอบมรดกของรัฐธรรมนูญ 2560 พวกเราคงไม่มีวันต้องออกมาต่อสู้อันใดแล้ว แต่วันนี้สถานการณ์ของประเทศเดินมาไกลมาก และเราทนมากแล้วในเวลา 7 ปีภายใต้การปกครองของประยุทธ์

 

ในวันพรุ่งนี้ (4 เมษายน) เราจะร่วมชุมนุมอย่างสันติ ที่สำคัญที่สุดฝ่ายรัฐมีหน้าที่อำนวยความสะดวก รักษาความปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องเอาตู้คอนเทนเนอร์มา แต่เรามาแก้ปัญหาร่วมกัน อีกอย่างการชุมนุมเป็นการตั้งเวทีปราศรัยด้วยภาษาแบบวิญญูชน เพื่อชี้ให้เห็นเหตุผลว่า ภายใต้การนำประเทศของประยุทธ์ หากไม่ออกมาต่อสู้ บ้านเมืองจะต้องสูญเสียอะไร แม้กระทั่งความเป็นชาติ ดังนั้นการปราศรัยจะชี้ให้เห็นถึงความเลวร้ายที่เกิดขึ้นของประยุทธ์

 

“รหัส 4/4/4 เป็นเรื่องระหว่างประชาชนกับประยุทธ์ แม้เสียงแวดล้อมประยุทธ์จะทำให้ประยุทธ์มีความสุขที่มีคนออกมาปกป้องประยุทธ์ ผมบอกเลยว่า เสียงเหล่านี้ บุคคลเหล่านี้ ตัวละครเหล่านี้ เคยทำให้แต่ละรัฐบาลก่อนหน้านี้พังพาบต่อหน้ากันมาตามลำดับ จนมาอยู่กับประยุทธ์ ผมไม่อยากแช่ง ไม่อยากทำนาย แต่ดูอาการแล้วว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับ ประยุทธ์ จันทร์โอชา”

 

จตุพรกล่าวต่อว่า วันพรุ่งนี้ 4 เมษา 4 โมงเย็น เราจะทำหน้าที่ประชาชน ส่วนประยุทธ์ก็ทำหน้าที่รัฐบาล ถ้าประยุทธ์รับฟัง วิกฤตข้างหน้าก็ไม่เกิด รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาล โดยประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย และชาติไทยพัฒนา ต้องรับผิดชอบร่วมลดหลั่นกันตามลำดับ 

 

“ผมเชื่อว่าการแก้ปัญหาชาติจะได้ผ่านพ้น ครั้งนี้ทุกฝ่ายต้องคิดให้มาก ผู้ปกครองต้องคิดให้มากว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะครั้งนี้จะไม่ง่ายเหมือนทุกครั้ง เพียงแต่เราต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างสันติวิธี เพื่อประเทศจะได้เริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง”

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising