ทุกวันนี้ Uber ได้เข้ามา disrupt ธุรกิจแท็กซี่ทั่วโลก แต่มาดูกันว่าในประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างไรกันบ้าง
ในประเทศญี่ปุ่นนั้น Uber ถือเป็นเจ้าแรกๆ ที่กระโดดลงมาทดลองตลาดของชาวญี่ปุ่น โดย UberTAXI เคยทดลองวิ่งให้บริการในโตเกียวอยู่ระยะหนึ่ง แต่ปัจจุบันได้ระงับการให้บริการไปแล้วเหลือเพียงแค่ UberBLACK ที่ยังคงให้บริการอยู่
(นอกจาก UberBLACK ก็มี UberEATS) ซึ่งไม่มี UberTAXI แล้ว เนื่องจากกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นไม่อนุญาตให้รถยนต์ส่วนบุคคล หรือรถทะเบียนป้ายดำ ประกอบการรับจ้างทำการรับส่งผู้โดยสารนั่นเอง
ทำไม Uber ถึงพิชิตแท็กซี่ญี่ปุ่นไม่ได้
สาเหตุที่ UberTAXI ไม่ได้รับความนิยมและระงับการให้บริการไป นอกจากเรื่องกฎหมายแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแท็กซี่ญี่ปุ่น (JapanTaxi) ในปัจจุบันมีการปรับตัวและเอากลยุทธ์ต่างๆ มาสู้ธุรกิจ ride sharing เช่น
- การปรับค่าโดยสารใหม่ เป็นการปรับลดค่าโดยสารเริ่มต้นให้ถูกลง ค่าโดยสารเริ่มต้น 1 กิโลเมตรแรก (ประมาณ 1.052 km.) ราคา 410 เยน และหลังจากหนึ่งกิโลเมตรแล้วทุกๆ 280 เมตรจะคิด 90 เยน ซึ่งจากเดิมราคาเริ่มต้นที่ 730 เยน เหมาะสำหรับผู้โดยสารที่นั่งระยะใกล้ เดิมค่าโดยสารเริ่มต้นของแท็กซี่ญี่ปุ่นแพง ทำให้หลายคนหันไปใช้บริการ Ride Sharing
- อัพเดตแอปพลิเคชันใหม่ เพิ่มฟังก์ชันต่างๆ เข้าไปให้ครอบคลุมและใช้งานง่ายและทันยุคทันสมัย จากเดิมใช้แอปพลิเคชันเรียกแท็กซี่เพียงอย่างเดียว แต่ตอนนี้ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบค่าบริการได้ก่อนใช้บริการ
- JapanTaxi Wallet เพิ่มความสะดวกสบาย เพียงแค่สแกนบาร์โค้ดกับแท็บเล็ต ไม่ต้องชำระด้วยเงินสดให้เสียเวลา และที่สำคัญแท็กซี่ญี่ปุ่นทุกคันออกใบเสร็จรับเงินให้ทุกครั้ง หรือจ่ายผ่าน JapanTaxi Wallet สามารถรับใบเสร็จรับเงินออนไลน์และปรินต์ออกมาใช้งานได้
- JapanTaxi Wallet เลือกผูกกับบัตรเครดิตได้หลายบริษัทค่อนข้างครอบคลุมบัตรที่สามารถชำระค่าบริการได้ รวมถึงจ่ายผ่าน Apple Pay, Yahoo Wallet, Docomo หรือ AU Payment (จ่ายพร้อมค่าโทรศัพท์รายเดือนสำหรับลูกค้า docomo และ AU)
- การเรียกใช้แท็กซี่ในโตเกียวต่างจากพื้นที่อื่นมาก โตเกียวสามารถเรียกแท็กซี่เมื่อไหร่ก็ได้เพราะมีแท็กซี่ขับผ่านไปมาหลายคัน ไม่จำเป็นต้องจองผ่านแอปพลิเคชันก็ได้
แต่การใช้แอปพลิเคชันเรียกแท็กซี่คนญี่ปุ่นมักจะใช้กันในบางสถานการณ์ เช่น หลังดื่มแอลกอฮอล์ คนญี่ปุ่นจะไม่ขับรถเลย เพราะกฎหมายของประเทศญี่ปุ่นค่อนข้างเข้มงวด ถึงแม้จะไม่มีด่านตรวจหรือจุดเป่าลมตรวจวัดแอลกอฮอล์แบบประเทศไทย แต่คนญี่ปุ่นมีความเคร่งครัดตรงนี้ แม้เพียงอึกเดียวก็จะไม่ขับรถเพราะไม่อยากเสี่ยงกับอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น
หรือเมื่อรถไฟเที่ยวสุดท้ายของวันหมด ต้องพึ่งพาแท็กซี่กลับบ้านแล้วเวลานั้นไม่อยากรอ หรือคอยโบกแท็กซี่บนถนน
ข้อได้เปรียบของแท็กซี่ญี่ปุ่นที่เป็นที่กล่าวถึงกันมากคือ ความสุภาพ ความสะอาดของคนขับแท็กซี่ ด้วยยูนิฟอร์ม ใส่ถุงมือขับรถ เบาะนั่งปูผ้าสีขาวสะอาดตา
ช่วงแรกแอปพลิเคชันของ Uber สามารถเรียกรถแท็กซี่ทั่วไปได้ด้วย แต่ตอนนี้แท็กซี่ที่เข้าร่วมกับ JapanTaxi มีมากขึ้น รวม 47 จังหวัดทั่วประเทศญี่ปุ่น มีบริษัทแท็กซี่เข้าร่วมแล้ว 322 บริษัท รวมจำนวนแท็กซี่ทั้งหมด 33,552 คัน (ตัวเลขอ้างอิงจาก japantaxi.jp/partners)
ดังนั้น Uber ในญี่ปุ่นจะได้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นคนต่างชาติที่เดินทางมาโตเกียว และรู้จัก คุ้นเคย ใช้งาน Uber มาก่อนอยู่แล้วเท่านั้นเอง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจุดแข็งของ Uber ที่ยังทำให้ UberBLACK ยังคงให้บริการได้อยู่ในประเทศญี่ปุ่น เป็นเพราะระดับของ UberBLACK เป็น Luxury Taxi ซึ่งกลุ่มเป้าหมายต่างกันกับแท็กซี่ญี่ปุ่น และการไม่มีค่าชาร์จพิเศษกลางคืน อาจจะทำให้ Uber ราคาเท่าๆ กันกับแท็กซี่ทั่วไปในยามค่ำคืน เพราะแท็กซี่ญี่ปุ่นจะคิดค่าชาร์จพิเศษอีก 20% หลังเวลา 23:00 ถึง 05:00 (*แล้วแต่พื้นที่) เหมาะสำหรับคนที่ต้องเดินทางช่วงกลางคืน
Ride Sharing ไม่ว่าจะเป็น Uber / Lyft / Didi Dache จะมีโอกาสเติบโตในประเทศญี่ปุ่นหรือเปล่า อาจจะกล่าวได้ว่านี่ไม่ใช่การปิดประตูไม่รับธุรกิจเหล่านี้เลย แต่ธุรกิจ Ride Sharing เหล่านี้ต้องทำงานหนักมาก
ถึงอย่างไรกรมการขนส่งของประเทศญี่ปุ่นและกระทรวงคมนาคมของประเทศญี่ปุ่น ยังคงพิจารณาข้อบทกฎหมาย เพื่อปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัยและเพื่อเพิ่มงานให้กับคนในชุมชน และเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเงินกับคนในชุมชนที่ต้องการใช้ Ride Sharing
จังหวัดอื่นๆ และชุมชนที่ต้องการใช้ Ride Sharing ของประเทศญี่ปุ่นคิดว่ามีหลายพื้นที่ ตอนนี้ยังมีการเก็บข้อมูลและวิจัยความเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง ถึงความจำเป็นที่จะนำธุรกิจ Ride Sharing เข้าสู่ชุมชนนั้น
ตัวอย่างการเก็บสถิติถ้าใช้ Ride Sharing ที่ฮะโกะดะเตะ
ฮะโกะดะเตะมีจำนวนประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 300,000 คน มีรถเมล์และแท็กซี่วิ่งให้บริการรวมๆ กันอยู่ประมาณ 1,000 คัน (นอกนั้นทุกครัวเรือนมีรถยนต์ส่วนตัวใช้กันหมด จำนวนรถยนต์ส่วนบุคคลมีประมาณ 10,000-20,000 คัน)
ถ้ามี Ride Sharing ให้บริการ 3,000 คัน คนจะรอรถเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น ผลตรงนี้ทำให้เป็นที่พูดถึงว่า แท็กซี่และรถเมล์ที่ยังมีจำนวนน้อยทำให้เสียเวลารอนาน นอกจากนี้ถ้าใช้รถยนต์ส่วนบุคคลมาเป็น Ride Sharing เพียงแค่ 3,000 คันจาก 15,000 คัน (เฉลี่ยจำนวนรถยนต์ส่วนบุคคล) ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ข้อดีของ Ride Sharing ที่เหมาะกับคนญี่ปุ่นคือ สังคมของผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้น การใช้ Ride Sharing จะช่วยให้ผู้สูงอายุเดินทางไปโรงพยาบาล ร้านค้า ซูเปอร์มาร์เก็ตด้วยตัวเองได้ง่ายขึ้น แก้ปัญหาผู้สูงอายุที่ต่อใบขับขี่ได้ยากขึ้น ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุจากการขับขี่รถยนต์ของผู้สูงอายุ
จากรายละเอียดที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นว่าประเทศญี่ปุ่นไม่ใช่ไม่ยอมรับการเข้ามาของ Uber หรือธุรกิจ Ride Sharing อื่นๆ แต่กำลังหาวิธีการที่จะปรับให้เข้ากับสังคมปัจจุบันและเป็นไปตามกระแสโลก ซึ่งกำลังปรับระบบให้เหมาะสมกับการใช้งานและต้องถูกกฎหมายด้วย นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ใช้บริการหรือผู้โดยสาร รวมถึงทรัพยากรและพลังงานที่เริ่มจะลดน้อยลง จึงมีความคิดที่ต้องแบ่งปันทรัพยากรร่วมกัน
แท็กซี่ไทยควรสู้ Uber อย่างไร
แท็กซี่ไทยอาจจะลองเปลี่ยนหรือปรับตัวเองให้สู้กับธุรกิจ Ride Sharing ให้ได้แบบแท็กซี่ญี่ปุ่น เราเคยคุยกับคนขับแท็กซี่ประเทศไทย ในสังคมของคนขับแท็กซี่ไทยเองมีเครือข่าย (ที่ไม่เกี่ยวกับบริษัท) เป็นเครือข่ายแท็กซี่อิสระ มีช่องทางส่งงานต่อให้กันทางแอปพลิเคชันหนึ่ง ถ้าลูกค้าประจำเรียกแท็กซี่ A แล้วแท็กซี่ A รับงานไม่ได้ ก็จะทำการส่งต่อให้แท็กซี่ B ที่อยู่ใกล้กับลูกค้าและสะดวกรับงาน เราเห็นได้ว่าแท็กซี่ไทยมีการปรับตัว นำเทคโนโลยีตรงนี้มาใช้งานได้เหมือนกัน ถ้าจะเริ่มทำแอปพลิเคชันเรียกแท็กซี่ที่ครอบคลุมการใช้งานได้บ้างน่าจะดีไม่ใช่น้อย และควรเพิ่มความแม่นยำในเส้นทาง อาจจะพึ่งพา GPS ช่วยในการนำทาง
เพราะคนขับแท็กซี่ญี่ปุ่นก็มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่รู้เส้นทาง หรือไม่ชำนาญทาง แต่แท็กซี่ญี่ปุ่นจะไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร แต่จะใช้ GPS นำทางเพื่อช่วยให้ไปถึงปลายทาง (บางกรณีคนขับแท็กซี่จะแจ้งลูกค้าให้ทราบก่อนว่าตนเองไม่ชำนาญทางนั้น ลูกค้าพร้อมจะไปกับเขาหรือไม่ ลูกค้าต้องเป็นคนเลือกตอบรับหรือปฏิเสธ)
ส่วนกรณีแท็กซี่ไม่รับผู้โดยสารของประเทศญี่ปุ่น สาเหตุที่เจอกันบ่อย คือ ปลายทางที่จะไปอยู่ใกล้มากเป็นระยะเดินได้ แท็กซี่จะแนะนำให้เราเดินไป แต่ถ้าเรายืนยันจะขึ้นแท็กซี่ เขาก็ต้องไปส่งเราตามปกติ
Cover Photo: KARAKADA HLEENOI/shutterstock