×

จับสัญญาณเศรษฐกิจญี่ปุ่น ชนวนป่วนตลาดลงทุนโลก​จริงหรือ

19.06.2025
  • LOADING...
กราฟอัตราผลตอบแทนพันธบัตรญี่ปุ่น JGB ปี 2568 แสดงแนวโน้มขาขึ้น

ผ่านพ้นไปหมาดๆ สำหรับผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินใน ของธนาคารกลาง 2 ประเทศใหญ่ “สหรัฐฯ และ ญี่ปุ่น” ในรอบเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งทั้ง 2 ธนาคารกลางโลกประกาศ “คงอัตราดอกเบี้ย” ไว้ที่ระดับเดิมตามที่ตลาดคาดการณ์ 

 

โดยผลประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เมื่อวันที่ 16-17 มิถุนายนที่ผ่านมา ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยหลักไว้ที่ 0.5% เนื่องจากกังวลต่อมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ จะกระทบภาคส่งออก และการเติบโตทางเศรษฐกิจญี่ปุ่น หลังจากที่ไตรมาสแรก GDP หดตัว 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า 

 

สำหรับผลประชุม Fed เมื่อวันที่ 17-18 มิถุนายนที่ผ่านมา ตลาดคาด “คงอัตราดอกเบี้ย” ที่ระดับ 4.25-4.50% เนื่องจากรอดูข้อมูลจากผลกระทบของมาตรการภาษีฯต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือน ก.ย. และปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือน ธ.ค.

 

ทำไมทั่วโลกจึงเฝ้าติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางทั้ง 2 ประเทศนี้ 

 

เนื่องมาจากแบงก์ชาติทั้ง 2 แห่งใช้นโยบายการเงินที่สวนทางกัน ขณะที่ญี่ปุ่นเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐฯ และยังเป็นนักลงทุนโดยตรง (FDI) รายใหญ่ของอเมริกา ขณะเดียวกัน นักลงทุนทั่วโลกได้มีการกู้ยืมเงินเยน (ดอกเบี้ยต่ำ) จากญี่ปุ่น ด้วยการทำ Yen Carry Trade เพื่อมาลงทุนในตลาดสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก โดยเม็ดเงินที่สะพัดส่วนใหญ่จะอยู่ในตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ดังนั้น หากญี่ปุ่นมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน ย่อมส่งผลกระทบไปถึง “สหรัฐฯ” ที่เป็นตลาดลงทุนใหญ่ของโลก 

 

ปัจจุบัน ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed กำลังอยู่ระหว่างรอการปรับโหมดเข้าสู่ทิศทางดอกเบี้ยขาลง หลังจากที่ดอกเบี้ยทรงตัวระดับสูงมาข้ามปีแล้วด้วยปัญหาเงินเฟ้อสูงช่วงหลายปีที่ผ่านมา 

 

ฝั่งธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ กำลังค่อยๆ ปรับโหมดปรับขึ้นดอกเบี้ย ทั้งจากปัญหาเงินเฟ้อสูง 3% และถอนคันเร่งหลังจากที่ใช้นโยบายผ่อนคลายทั้งดอกเบี้ยติดลบและการทำ Yield Curve Control ด้วยการแทรกแซงซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB) มาเป็นทศวรรษจนเกิดภาวะเงินฝืดยาวนาน

 

ขณะที่ทั้งสองประเทศต่างก็มีปัญหาที่เหมือนๆ กัน นั่นก็คือ หนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ระดับสูง และยังจำเป็นต้องกู้เงินผ่านการออกพันธบัตรอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อสูง และมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ล้วนเป็นโจทย์ใหญ่ที่กดดันการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั้ง 2 ประเทศมากขึ้น 

 

ปัจจัยสงครามภาษีฯของประธานาธิบดีสหรัฐฯ “โดนัลด์ ทรัมป์” เข้ามาเป็นปัญหาใหม่ในปีนี้และสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว IMF ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2025 ลงมาเหลือ 2.8% และปี 2026 อยู่ที่ 3% และจากผลกระทบภาษีฯ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อโลกจะไปอยู่ที่ 4.3% และ 3.6% และยังเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ อย่างมีนัยสำคัญด้วย 

 

สถานการณ์โลกมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกลดลง สะท้อนผ่านการเทขายสินทรัพย์สกุลดอลลาร์กันอย่างหนักจนตลาดเรียก Sell America ไม่ว่าจะเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นสหรัฐฯ ออกมา และยังมีการเทขาย “พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ” จนราคาร่วงหนัก กระทบบอนด์ยีลด์ดีดขึ้นด้วย ทั้งที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยงต่ำที่สุดของโลก ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง

 

Bond Yield หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร คือผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจากการถือพันธบัตร หาก Yield ขึ้น แสดงว่า “ราคาพันธบัตรลดลง” สะท้อนตลาดมีความเชื่อมั่นต่อพันธบัตรลดลง หรือกังวลต่อความเสี่ยงของประเทศผู้ออกพันธบัตรนั้นๆ

 

ตลอดช่วงเวลากว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ตลาดตราสารหนี้สหรัฐฯ ผันผวนสูง โดยเฉพาะบอนด์ยีลด์ระยะยาวที่พุ่งขึ้นแรงทำนิวไฮใหม่ บอนด์ยีลด์ อายุ 30 ปี พุ่งขึ้นทะลุกว่า 5.15% และบอนด์ยีลด์ อายุ 10 ปี ดีดขึ้นไปสูงสุดที่ 4.5% เมื่อกลางเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามภาษีตอบโต้รุนแรง โดยแรงเทขายหลักๆ มาจากนักลงทุนต่างชาติ และช่วงที่ “มูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ลงจาก Aaa เป็น Aa1” เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม บอนด์ยีลด์ อายุ 10 ปี ดีดขึ้นไป 4.548% และอายุ 30 ปี พุ่งทะลุ 5.014% สูงสุดในรอบหลายปี แม้ปัจจุบัน บอนด์ยีลด์จะปรับลดลงแต่คงทรงตัวระดับสูงกว่า 4% 

 

ความเชื่อมั่นต่อการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ยังคงลดลง หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกพันธบัตรใหม่อายุ 20 ปี ประมูลขายเมื่อเร็วๆ นี้ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ทำให้ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพื่อดึงดูดนักลงทุนกลับมา และในช่วงที่เหลือปีนี้ พันธบัตรสหรัฐฯ จะครบกำหนดอีกกว่า 9.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งตลาดคาดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะต้อง roll over และอาจต้องให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยที่สูงขึ้นเพื่อจูงใจนักลงทุนอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นต้นทุนทางการเงินที่สูงของรัฐบาลสหรัฐฯ 

 

ปัจจุบันประเทศที่ถือพันธบัตรสหรัฐฯ มากที่สุด ได้แก่ เยอรมัน ญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักร 

 

สำหรับตลาดบอนด์ญี่ปุ่นที่เกิดความผันผวนในช่วงเวลาใกล้เคียงกับสหรัฐฯ เนื่องจากปัจจัยแรก ญี่ปุ่นต้องเผชิญกับเงินเฟ้อที่เริ่มเร่งตัว ทำให้เงินทุนไหลออก และปัจจัยที่สอง คือ BOJ เริ่มลดการซื้อพันธบัตรในตลาด ตั้งแต่ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการดึงสภาพคล่องกลับ และเป็นการถอนคันเร่งจากที่เคยใช้นโยบายควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทน (Yield Curve Control) ผ่านการซื้อพันธบัตร มาตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งใน BOJ เคยซื้อพันธบัตรญี่ปุ่นมากถึง 52% ของตลาดทำให้ราคาไม่สะท้อนความต้องการที่แท้จริงของตลาด ถือเป็นตลาดที่บิดเบี้ยวจากนโยบายการเงินผ่อนคลายพิเศษ 

 

เพราะฉะนั้นเมื่อ BOJ ตัดสินใจจะปรับโหมดดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวเพื่อกลับเข้าสู่โหมดปกติ โดยเริ่มตั้งแต่ปีที่แล้วทั้งการเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 0.25% จากที่เคยติดลบ และลดวงเงินซื้อพันธบัตรในตลาด และปีนี้ได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้งเป็น 0.50% และลดการซื้อพันธบัตรอีก ซึ่งเป็นการปล่อยให้ บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่น ปรับตัวสะท้อนสภาพตลาดที่แท้จริง 

 

สถานการณ์ที่ซับซ้อนของญี่ปุ่นจากสองปัจจัยดังกล่าว กดดันให้ BOJ ต้องเดินไปสู่ “การยอมขึ้นดอกเบี้ย” ในระยะข้างหน้า 

 

ซึ่งตลาดบอนด์ญี่ปุ่นได้สะท้อนความวิตกกังวลล่วงหน้ามาตั้งแต่ต้นปีนี้ โดย บอนด์ยีลด์ญี่ปุ่นพุ่งไม่หยุด โดยเฉพาะกลุ่มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวพิเศษได้พุ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สาเหตุหลักมาจากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้น และปัญหาฐานะการคลังของประเทศที่ดูไม่สู้ดีนัก ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจและลดความต้องการซื้อพันธบัตรเหล่านี้ลง

 

ในช่วงปีนี้ บอนด์ยีลด์ JGB อายุ 20 ปี 30 ปี และ 40 ปี ต่างปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย JGB อายุ 30 ปี อัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้นมาระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 3.185% เมื่อวันที่ 21 พ.ค. ส่วน JGB อายุ 40 ปี ทำสถิติสูงสุดที่ 3.675% เมื่อวันที่ 22 พ.ค. อย่างไรก็ตาม JGB อายุ 10 ปี (ซึ่งเป็นรุ่นอ้างอิงของตลาด) อัตราผลตอบแทนลดลงอยู่ที่ราว 1.555%

 

อีกประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกกังวล คือ ญี่ปุ่นถือพันธบัตรสหรัฐฯ มากที่สุด เรียกได้ว่าเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา หากต้นทุนทางการเงินของญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้น รัฐบาลญี่ปุ่นอาจต้องดึงเงินลงทุนกลับจากต่างประเทศ เพื่อบริหารหนี้ภายในประเทศที่สูงถึง 260% ของ GDP 

 

ทำให้โลกเกิดความกังวลว่า วิกฤติที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความผันผวนของสงครามการค้าจากภาษีทรัมป์ยังไม่พอ อาจจะเจอซ้อนวิกฤติจากประเด็นเรื่องบอนด์ยีลด์ผันผวนด้วยหรือไม่? และจะจุดชนวนให้เกิด “โดมิโนทางการเงินล้มครืน” หรือไม่? 

 

นี่คือสถานการณ์บอนด์ยีลด์โลกผันผวนที่มาจากแรงเทขายของบอนด์สหรัฐฯ และญี่ปุ่นครับ 

 

หากปีนี้ GDP ของญี่ปุ่นยังคงหดตัวต่อเนื่องเหมือนในไตรมาสแรกที่ผ่านมา แต่ต้นทุนการเงินในระบบกลับสูงขึ้นจาก Yield ที่เพิ่มขึ้น นั่นอาจหมายถึง “เศรษฐกิจถดถอยและดอกเบี้ยสูง” อาจกระทบทั้งประเทศและลุกลามสู่ระบบการเงินโลก

 

ทั่วโลกจึงจับตาการประชุม BOJ ในการถอนคันเร่งว่า จะทำอย่างไรต่อไป? จะมีจุดเปลี่ยนสำคัญอะไรเกิดขึ้น? จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติมหรือไม่? จะปรับลดการซื้อพันธบัตรหรือหยุดแทรกแซง? จะสามารถสื่อสารนโยบายเพื่อรักษาเสถียรภาพตลาดได้หรือไม่? 

 

ทั้งนี้ ผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เมื่อวันที่ 16-17 มิถุนายนที่ผ่านมา ประกาศยืดเวลาแผนลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือการทำ QT โดยลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลประมาณ 4 แสนล้านเยนต่อไตรมาส ซึ่งจะทำให้ปริมาณการซื้อเหลือ 3 ล้านล้านเยนต่อเดือน ไปจนถึงเดือนมีนาคม และหลังจากนั้น BOJ จะชะลอการลดการซื้อพันธบัตรลงเหลือ 2 แสนล้านเยนต่อไตรมาส ตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2569 จนถึงเดือนมีนาคม 2570 

 

การพุ่งขึ้นของยีลด์พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น ถูกตั้งคำถามว่า กำลังจุดชนวนความกังวลถึงผลกระทบที่จะตามมาหรือไม่

 

นักวิเคราะห์จาก Macquarie เตือนว่า อาจถึงจุดเปลี่ยนที่นักลงทุนญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่อันดับสองของโลก โดยมีสินทรัพย์ต่างประเทศสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 533.05 ล้านล้านเยน หรือ 3.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2024 จะตัดสินใจดึงเงินทุนจำนวนมหาศาลกลับจากสหรัฐฯ และตลาดอื่นๆ เข้ามาลงทุนในพันธบัตรญี่ปุ่นที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น

 

ด้าน อัลเบิร์ต เอ็ดเวิร์ดส์ นักกลยุทธ์ระดับโลกของ Societe Generale เตือนว่า หากยีลด์ JGB ยังคงไต่ระดับสูงขึ้น อาจจุดชนวนหายนะของตลาดการเงินโลก (Global Financial Market Armageddon) โดยยีลด์ที่สูงขึ้นและเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นกว่า 8% ตั้งแต่ต้นปี จะลดความน่าสนใจในการลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนญี่ปุ่น โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ที่เคยมีเม็ดเงินจากญี่ปุ่นไหลเข้าไปจำนวนมาก

 

ส่วน “David Roche” นักกลยุทธ์ของ Quantum Strategy กล่าวว่า การไหลกลับของเงินทุนสู่ญี่ปุ่นเป็นสัญญาณของ ‘การสิ้นสุดความโดดเด่นของสหรัฐฯ’ และจะส่งผลให้สภาพคล่องทั่วโลกตึงตัวขึ้น ลดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกเหลือเพียง 1% และขยายเวลาของตลาดหมีในสินทรัพย์ส่วนใหญ่ออกไป

 

มุมมองของนักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าผลกระทบของตลาดบอนด์ อาจไม่รุนแรงเท่าที่กังวล แต่จะเป็นการซึมยาวมากกว่าที่จะพังทลายอย่างรวดเร็ว

 

นักวิเคราะห์จาก Mizuho วิเคราะห์ว่า “มีแรงจูงใจค่อนข้างมากที่รัฐบาลจะลดการออกพันธบัตรระยะยาวพิเศษเหล่านี้ลงเพื่อทำให้อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ (duration) สั้นลง”

 

ล่าสุดในการประมูลพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 40 ปีในเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา ปรากฏว่าอุปสงค์อยู่ในระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 ส่งผลให้ยีลด์พันธบัตรอายุ 40 ปี ดีดตัวขึ้น 0.05% แตะระดับ 3.335% หลังจากพุ่งทำสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ 3.689% เมื่อสัปดาห์ก่อน สำหรับตลาดพันธบัตรญี่ปุ่น มีมูลค่ากว่า 7.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

 

สถานการณ์ในครึ่งปีหลัง ตลาดยังวิตกกังวล Sell America ไม่จบง่ายๆ ด้วยความต่างของดอกเบี้ยระหว่างสหรัฐฯ และญี่ปุ่น จุดชนวนความกังวลระลอกใหม่เกี่ยวกับการไหลออกของเงินทุนจากตลาดสหรัฐฯ และการล่มสลายของ Yen Carry Trade หรือกลยุทธ์การกู้เงินสกุลเยนที่มีดอกเบี้ยต่ำมาก ไปลงทุนต่อในสินทรัพย์สกุลเงินอื่นที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย และความปั่นป่วนที่อาจลุกลามไปทั่วตลาดการเงินโลก 

 

ขณะที่โลกยังมีอีกหลายวิกฤติที่รออยู่ในปีนี้ นั่นก็คือ 

 

  • สงครามใหญ่ “อิสราเอล-อิหร่าน” ที่ตอนนี้ยังคงทวีความรุนแรงขึ้น
  • วิกฤติกำแพงภาษีการค้าทั่วโลก สูงที่สุดในรอบ 100 ปีที่กดดันเงินเฟ้อและเศรษฐกิจทั่วโลก 
  • สงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน-ญี่ปุ่น-ยุโรป และทั่วโลกยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ซึ่งใกล้ครบกำหนดเลื่อนการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าสหรัฐฯ ในวันที่ 9 กรกฎาคมนี้แล้ว ขณะเดียวกันรอฟังผลพิจารณาของศาลสหรัฐฯ ว่า ประธานาธิบดีใช้อำนาจเกินขอบเขตในการออกมาตรการภาษีฯ หรือไม่ 
  • วิกฤติหนี้สหรัฐฯ รุนแรง จน Bond Yield สหรัฐฯ ดีดสูงที่สุดในรอบ 20 ปี
  • ราคาน้ำมัน ปรับตัวสูงขึ้น +30% ภายในเวลา 2 เดือน 

 

แนวโน้มตลาดการลงทุนสินทรัพย์ไหนจะมีปั่นป่วนกว่าครึ่งปีแรกหรือไม่ คงเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาล่วงหน้าได้ครับ แต่เราสามารถจัดพอร์ตให้มีแบบแผนรับมือพายุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ครับ 

 

ในเวลาที่ตลาดจะพัง มันไม่เคยส่งสัญญาณเตือนล่วงหน้าเลยจริงไหมครับ ถ้าใครที่รู้สึกท้อกับกราฟแดงที่เต็มหน้าจอ คิดวนเวียนกับคำถามที่ว่า “เราควรลงทุนยังไงให้รอด? หรือ จะรักษาพอร์ตที่ติดลบอย่างไรดี?

ผมมีแนวคิดมาแชร์ที่จะช่วยให้คุณ “ไม่ต้องหนี” แต่จะ “อยู่รอด” อย่างมีสติและรอดอย่างมีแบบแผนครับ เรามาดูกัน

 

ในช่วงเวลาที่ตลาดการลงทุนทั่วโลกเต็มไปด้วยความผันผวน ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว อัตราดอกเบี้ยสูง เงินเฟ้อที่ยังควบคุมไม่ได้ รวมถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์หรือสงครามต่างๆ ที่ผมฉายภาพข้างต้นให้เห็นกันแล้ว

 

ในเมื่อเราต้องอยู่กับโลกแบบนี้ไปอีกหลายๆ ปีข้างหน้า สิ่งสำคัญที่สุดในช่วงเวลาวิกฤติเช่นนี้ คือ เราต้องสร้าง “Mindset” ที่แข็งแรงและแนวคิดระยะยาวที่จะพาเราให้รอด ไม่ใช่เพียงแค่เอาตัวรอดวันนี้แต่เพื่อให้พอร์ตของคุณสามารถเติบโตได้ในอนาคต

ความจริงที่เกิดขึ้นทุกครั้ง คือ วิกฤติมีอยู่จริง แต่ตลาดฟื้นตัวเสมอ 

หากเราย้อนดูประวัติศาสตร์การลงทุนในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า จะเกิดวิกฤติร้ายแรงขนาดไหน ตลาดหุ้นก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้เสมอ เช่น

  • วิกฤติ Dot-Com ตลาดหุ้นก็ฟื้นตัวใน 13 ปี ผลตอบแทน +24%
  • วิกฤติ Subprime ตลาดกลับมาได้ใช้เวลา 5 ปี
  • สงครามการค้า สมัยทรัมป์ยุคแรก ตลาดหุ้นฟื้นตัวใน 7 เดือน
  • โควิด-19 พบว่า ตลาดกลับมาบวกใน 8 เดือน
  • วิกฤติเงินเฟ้อสหรัฐฯ ตลาดหุ้นก็ฟื้นตัวใน 2 ปี

จุดร่วมของทุกวิกฤติคือ “อารมณ์ความกลัว” ที่ทำให้นักลงทุนรีบเทขายสินทรัพย์ทิ้ง ทั้งที่ในระยะยาวแล้วตลาดจะปรับตัวขึ้นมาใหม่เสมอ

 

ผมอยากชี้ให้คุณเห็นว่า “Mindset” ที่แข็งแรงจะนำพาเราให้รอดทุกพายุที่ถาโถม เหมือนภาพใหญ่ที่ผมวาดให้เห็นกันไปแล้วข้างต้น มุมมองในช่วงครึ่งปีหลังของคุณอาจจะยังเหมือนมีหมอกปกคลุม แต่หากพิจารณาจากข้อมูลประวัติศาสตร์การลงทุนทั้ง 5 วิกฤติที่ผ่านมา ผมว่าทุกท่านจะเห็นแล้วว่าทุกวิกฤติมีจุดสิ้นสุด และฟื้นตัวได้หลังจากนั้นจริงๆ ดังนั้นคุณน่าจะพอมีคำตอบให้ตัวเองได้แล้วล่ะครับว่าจะรับมือกับพายุนี้อย่างไร ล่าถอยหรือตั้งมั่นด้วยสติ 

 

สุดท้ายนี้ผมขอให้คุณหมั่นฝึกฝนและสร้าง “Mindset” การลงทุนระยะยาวเอาไว้ให้พร้อม เมื่อมีความผันผวนในโลกลงทุนขึ้นมาจนกระตุ้นให้คุณเกิดอารมณ์ในการลงทุนขึ้นมาเมื่อใด พอร์ตของคุณจะไม่พังและกลับมาเป็นผู้ชนะในทุกสงครามการลงทุนด้วย Mindset ที่แข็งแรงครับ

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising