บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส ประกาศผลการดำเนินงานปี 2565 สูงเป็นประวัติการณ์ กวาด Core EBITDA อยู่ที่ 2.3 พันล้านดอลลาร์ ส่วนรายได้อยู่ที่ 1.88 หมื่นล้านดอลลาร์ ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการสินค้าที่ขยายตัวดี พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผล 1.6 บาทต่อหุ้น สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ดีลิป กุมาร์ อากาวาล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส หรือ IVL เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในปี 2565 ที่ออกมาสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมี Core EBITDA อยู่ที่ 2.3 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบปีจากปีก่อน เนื่องจากมีรายได้ที่สูงเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 1.88 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบปีจากปีก่อน และมีกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งเท่ากับ 2.24 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 111% โดยปี 2565 มีกำไรสุทธิที่เป็นเงินสกุลเงินบาทที่ 3.10 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.63 หมื่นล้านบาท
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากทั้งรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบบูรณาการที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ ประกอบกับความคล่องตัวของทีมผู้บริหาร รวมถึงผลการดำเนินงานตลอดทั้งปี 2565 ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ อีกทั้งยังมีอุปสงค์ของสินค้าในกลุ่มของบริษัทที่ผลิตได้ยังเติบโตได้ดีต่อเนื่อง โดยใน Portfolio ของบริษัทประมาณ 90% จัดเป็นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ โดยสัดส่วนหลักจะเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตประจำวัน
นอกจากนี้บริษัทยังคงมุ่งเน้นแผนการเติบโตของธุรกิจ การบูรณาการที่ประสบความสำเร็จสำหรับกิจการที่เข้าซื้อเชิงกลยุทธ์อย่างธุรกิจสารลดแรงตึงผิวในลาตินอเมริกา และธุรกิจบรรจุภัณฑ์ในประเทศเวียดนาม
อย่างไรก็ดีบริษัทยังเดินหน้าเป้าหมายความยั่งยืนตาม ‘วิสัยทัศน์ ปี 2563’ (Vision 2030) ของบริษัท ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีการรีไซเคิล และการนำวัตถุดิบชีวมวลมาใช้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัท อีกทั้งโครงการปรับเปลี่ยนต้นทุนที่กำลังดำเนินอยู่อย่าง Project Olympus ก็สามารถเพิ่มประสิทธิผลการดำเนินงานในรอบหนึ่งปีรวมมูลค่า 449 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานประจำปีที่แข็งแกร่งได้รับผลกระทบจากความท้าทายที่มากกว่าปกติในไตรมาส 4/65 เนื่องด้วยความกังวลต่อภาวะชะลอตัวและรอบการขนส่งที่ลดลง ส่งผลให้ลูกค้าต้องระบายสต๊อกสินค้าเป็นจำนวนมาก บริษัทมี Core EBITDA ในไตรมาสที่ 4/65 อยู่ที่ 264 ล้านดอลลาร์ ลดลง 43% เมื่อเทียบปีต่อปี ส่วนรายได้สำหรับไตรมาส 4/65 ลดลง 1% อยู่ที่ 3.9 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ การล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดในประเทศจีนยังคงดำเนินต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 4/65 ส่งผลกระทบให้อุปสงค์ของโรงงานลดลงทั่วทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ของบริษัท และส่งผลให้กำไรน้อยลงจากราคาขายที่ลดลงและต้นทุนที่สูงขึ้น โดยคาดว่าการระบายสต๊อกสินค้ามากกว่าปกติของลูกค้าที่ส่งผลกระทบในไตรมาสที่ 4/65 ที่ผ่านมา จะมีแนวโน้มที่ลดลง และธุรกิจกลับเข้าสู่สภาวะการดำเนินงานปกติ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลังจากที่ประเทศจีนกลับมาเปิดประเทศจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ให้เติบโตยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ดีเพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน และเสริมความยืดหยุ่นของธุรกิจ บริษัทจึงได้ประเมินสินทรัพย์ของธุรกิจ Fibers ในยุโรป และโรงงาน PTA ในเอเชีย ซึ่งมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าคาด ทำให้เกิดรายการเงินสดด้อยค่า 7 ล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/65 และผลกระทบที่ไม่ใช่เงินสดมูลค่า 253 ล้านดอลลาร์ จากผลดังกล่าว บริษัทจึงคาดว่าจะมี EBITDA เพิ่มขึ้นอีก 38 ล้านดอลลาร์ในปี 2566 และจะเพิ่มขึ้นอีกถึง 65 ล้านดอลลาร์ในปี 2568
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผล 1.6 บาทต่อหุ้น จากผลการดำเนินงานของทั้งปี 2565 ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมี EPS อยู่ที่ 5.39 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบจากปีก่อน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เปิด 5 เหตุผล ทำไมจีนเปิดประเทศแล้ว แต่ตลาดน้ำมันโลกยังนิ่ง
- ‘บีซีพีจี’ ทุ่ม 9 พันล้านบาท ฮุบธุรกิจ ‘คลังน้ำมันและท่าเรือ’ เปิดทางสู่ธุรกิจ ‘โครงสร้างพื้นฐาน’ ระบุมีกระแสเงินสดพร้อมลงทุน ไร้แผนเพิ่มทุน
- สะพัด ‘บางจาก’ ทุ่ม 5 หมื่นล้านบาท ปิดดีลเทกโอเวอร์ ESSO จ่อชงบอร์ด 9 ม.ค. 66 ต่อยอดธุรกิจ Jet Fuel ปูทางขายน้ำมันเข้าสนามบินทั่วประเทศ