×

พาณิชย์เผย สงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ กระทบการค้าไทยแค่ 0.2% ห่วงผลกระทบทางอ้อมต่อราคาน้ำมันและคู่ค้าในตะวันออกกลางหากบานปลาย

11.10.2023
  • LOADING...
Israel-Palestine

กระทรวงพาณิชย์เผย อิสราเอล-ปาเลสไตน์รบกันกระทบการค้าไทยโดยตรงแค่ 0.2% แต่ห่วงผลกระทบทางอ้อมจากราคาน้ำมันและการค้าในตะวันออกกลางหากสถานการณ์บานปลาย 

 

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ออกรายงานประเมินผลกระทบจากความไม่สงบในอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ต่อเศรษฐกิจการค้าของไทย โดยระบุว่า ในแง่ของผลกระทบทางตรงต่อการค้าระหว่างประเทศของไทย ในกรณีที่สถานการณ์การสู้รบที่อยู่ในพื้นที่จำกัด (บริเวณฉนวนกาซา) ยังไม่มีการปิดประเทศหรือปิดกั้นระบบการขนส่งทั้งหมด น่าจะยังไม่กระทบต่อการส่งออกของไทยไปยังประเทศคู่ขัดแย้ง หรือหากกรณีที่ไม่สามารถส่งออกไปได้ ก็จะไม่ได้ส่งผลต่อการส่งออกรวมของไทยมากนัก เนื่องจากอิสราเอลและปาเลสไตน์ไม่ใช่คู่ค้าสำคัญอันดับต้นๆ ของไทย มีมูลค่าการค้าระหว่างกันค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับปริมาณการค้าต่างประเทศของไทยยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ 

 

ข้อมูลในปี 2022 ชี้ให้เห็นว่า อิสราเอลเป็นคู่ค้าลำดับที่ 42 ของไทย การค้าระหว่างไทย-อิสราเอลมีมูลค่า 1,401.8 ล้านดอลลาร์ หรือ 49,182 ล้านบาท (ขยายตัว 10.0%) คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.2% ของการค้ารวมของไทยเท่านั้น

 

ส่วนการส่งออกของไทยไปอิสราเอลในปีที่ผ่านมา อิสราเอลเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 38 ของไทย มีมูลค่า 850.2 ล้านดอลลาร์ หรือ 29,728 ล้านบาท (ขยายตัว 2.9%) คิดเป็นสัดส่วน 0.3% ของการส่งออกของรวมของไทย โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (สัดส่วน 28.6%), อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (9.6%), อัญมณีและเครื่องประดับ (9.6%), ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและส่วนประกอบ (4.1%), ข้าว (3.8%), เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (3.0%), ผลิตภัณฑ์ยาง (3.0%), เม็ดพลาสติก (2.5%), ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ (2.4%) และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (2.2%) เป็นต้น

 

ด้านการนำเข้าของไทยจากอิสราเอล อิสราเอลเป็นแหล่งนำเข้าลำดับที่ 45 ของไทย มีมูลค่า 551.7 ล้านดอลลาร์ หรือ 19,455 ล้านบาท (ขยายตัว 22.9%) คิดเป็นสัดส่วน 0.2% ของการนำเข้ารวมของไทย โดยมีสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องเพชรพลอยและอัญมณี (สัดส่วน 26.1%), ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ (15.5%), เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ (10.3%), เคมีภัณฑ์ (6.2%), เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ (5.6%), ยุทธปัจจัย (5.3%), เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ (5.3%), แผงวงจรไฟฟ้า (4.9%), ผัก/ผลไม้ และของปรุงแต่ง (4.0%) และผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก (2.1%) เป็นต้น

 

สำหรับการค้าระหว่างไทยกับปาเลสไตน์ ในปี 2022 ปาเลสไตน์เป็นคู่ค้าลำดับที่ 186 ของไทย การค้าระหว่างไทย-ปาเลสไตน์ มีมูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 134.4 ล้านบาท (ขยายตัว 113.3%) คิดเป็นสัดส่วน 0.001% ของการค้ารวมของไทย 

 

โดยปาเลสไตน์เป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 169 ของไทย มีมูลค่า 5 ล้านดอลลาร์ หรือ 178.3 ล้านบาท (ขยายตัว 113.3%) คิดเป็นสัดส่วน 0.002% ของการส่งออกรวมของไทย โดยมีสินค้าส่งออก เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (สัดส่วน 62.8%), อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (33.7%), กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ (2.1%) และเครื่องดื่ม (1.4%) เป็นต้น

 

ส่วนการนำเข้าของไทยจากปาเลสไตน์ ปาเลสไตน์เป็นแหล่งนำเข้าลำดับที่ 233 ของไทย โดยมีมูลค่านำเข้าน้อยมากเพียง 1,316 ดอลลาร์ หรือ 44,157 บาท (ขยายตัว 408.1%) โดยมีสินค้านำเข้า เช่น ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ (สัดส่วน 56.9%), เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ (22.1%) และนาฬิกาและส่วนประกอบ (21.0%) เป็นต้น 

 

อย่างไรก็ดี แม้ว่าผลกระทบทางตรงจากความไม่สงบในอิสราเอล-ปาเลสไตน์จะมีไม่มาก แต่ยังมีผลกระทบทางอ้อมที่ต้องติดตามเช่นกัน ได้แก่

 

1. ผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก 

 

ตลาดน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวนไปในทิศทางสูงขึ้น หลังเกิดเหตุการณ์สู้รบส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ปรับตัวพุ่งสูงกว่า 4 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากความกังวลว่าสถานการณ์ความไม่สงบอาจกระตุ้นให้เกิดความไม่มั่นคงในภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อการผลิตและการขนส่งน้ำมันในตะวันออกกลาง 

 

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลในอดีตพบว่า ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์มักจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากความกังวลต่อการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานน้ำมันดิบ อย่างไรก็ดี หากความขัดแย้งไม่ขยายวงกว้างมากขึ้น น่าจะทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เนื่องจากอิสราเอลและปาเลสไตน์ไม่ใช่ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ในตลาดโลก (พื้นที่สงครามมีการผลิตน้ำมันดิบเพียง 7.2 แสนบาร์เรลต่อวัน) และไม่ได้กระทบต่อการขนส่งน้ำมันที่คลองสุเอซมากนัก 

 

2. ผลกระทบต่อการค้ากับกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง 

 

ภูมิภาคตะวันออกกลางมีโอกาสที่จะเปราะบางมากขึ้นจากปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การแบ่งขั้วพันธมิตรสนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และอาจมีโอกาสลุกลามเกิดความไม่สงบภายในภูมิภาคตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย โดยในปี 2022 การค้าระหว่างไทย-ตะวันออกกลางคิดเป็นสัดส่วน 7.6% ของการค้ารวมทั้งหมดของไทย การส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 3.8% ของการส่งออกรวม และการนำเข้าคิดเป็นสัดส่วน 11.2% ของการนำเข้ารวม ซึ่งประเทศในกลุ่มนี้เป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพเป้าหมายการส่งออกของไทยชดเชยตลาดหลักที่ชะลอตัวในปีนี้ และเป็นแหล่งนำเข้าพลังงานสำคัญที่สุดของไทย 

 

ดังนั้นหากสงครามระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ลุกลามสู่ความขัดแย้งในระดับภูมิภาค จะส่งผลให้แนวโน้มการส่งออกไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางได้รับผลกระทบ มีแนวโน้มเติบโตชะลอลงตามความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคตะวันออกกลางที่ชะลอตัว ขณะที่การนำเข้าพลังงานอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาการด้านการขนส่งและอุปทานน้ำมันที่ลดลงในภูมิภาค

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X