เมื่อวานที่ผ่านมา (19 ก.ค.) นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล ประกาศผ่านร่างกฎหมายที่ระบุชัดว่า ‘อิสราเอลเป็นรัฐชาติของชาวยิว’ เพื่อต้องการปลุกกระแสชาตินิยมภายในประเทศ และต้องการให้ชาวปาเลสไตน์รับรู้ว่าการเกิดขึ้นของประเทศนี้ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของชาวยิวทุกคน
ถึงแม้ว่าการตัดสินใจของรัฐบาลอิสราเอลจะได้รับเสียงสนับสนุนจากฝ่ายขวาเป็นจำนวนมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงจากกลุ่ม Centrist และบรรดากลุ่มฝ่ายซ้ายภายในประเทศ ซึ่งกล่าวโจมตีว่านี่คือการกระทำที่เลือกปฏิบัติและต่อต้านความเป็นประชาธิปไตยในอิสราเอล
โดยกฎหมายฉบับดังกล่าวเน้นย้ำถึงสิทธิและเสรีภาพของชาวยิวในประเทศแห่งนี้ โดยได้ชูประเด็นว่าสิทธิในการตัดสินใจด้วยตนเอง (Self-determination) ของประเทศนี้เป็นของชาวยิวที่มีอัตลักษณ์และรวมกันเป็นหนึ่ง (ซึ่งไม่ได้ควบรวมถึงพลเมืองอิสราเอลทุกคน)
ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการละเมิดและทำลายเจตนารมณ์ของการประกาศเอกราชของอิสราเอลเมื่อปี 1948 ที่ระบุชัดว่าประเทศแห่งนี้ให้ความเท่าเทียมกันทางสังคมและสิทธิเสรีภาพทางการเมืองแก่พลเมืองทุกคน (all its inhabitants) โดยไม่คำนึงถึงศาสนา เชื้อชาติ และเพศ
อีกทั้งการยกให้สังคมชาวยิวเด่นชัดขึ้น ทำให้ชาวอาหรับซึ่งเป็นพลเมืองส่วนน้อยของประเทศนี้ที่อาศัยอยู่เกือบ 9 ล้านคน (หรือคิดเป็น 21% ของประชากรทั้งหมด) เกิดความไม่พอใจ โดยกฎหมายฉบับนี้จะลดทอนความเป็นอื่น ถอดภาษาอาหรับซึ่งเคยเป็นหนึ่งในภาษาราชการให้กลายเป็นเพียงภาษาที่อยู่ในสถานะพิเศษเท่านั้น ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าแนวทางในการพัฒนาประเทศของอิสราเอลให้ทุกอย่างสัมพันธ์กับ ‘ความเป็นยิว’ (Jewishness) กำลังสวนทางและปะทะกันกับแนวทางของความเป็นประชาธิปไตย
ขณะนี้รัฐบาลอิสราเอลกำลังพยายามกวาดเสียงสนับสนุนจากกลุ่มฝ่ายขวา กลุ่มชาตินิยม และกลุ่มป๊อปปูลิสต์ในยุโรป รวมถึงพื้นที่อื่นๆ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งและรู้สึกยืนอยู่บนเวลาโลกได้อย่างมั่นคง โดยมีรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คอยให้การสนับสนุนอย่างที่ไม่เคยมีรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใดเคยทำมาก่อนอีกด้วย
อ้างอิง: