กองทัพอิสราเอลเปิดฉากโจมตีทางอากาศในกรุงดามัสกัส ของซีเรีย วานนี้ (16 กรกฎาคม) โดยโจมตีหลายเป้าหมายด้านความมั่นคง รวมทั้งอาคารกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการทหาร และบริเวณรอบทำเนียบประธานาธิบดี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 3 คน และบาดเจ็บ 34 คน
อิสราเอลอ้างว่า การโจมตีดังกล่าวเป็นปฏิบัติการเพื่อปกป้องชนกลุ่มน้อยชาวดรูซ ในจังหวัดซูไวดา (Suweida) ทางตอนใต้ของซีเรีย ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชาวดรูซในอิสราเอล ภายหลังเกิดเหตุปะทะกันระหว่างกองกำลังติดอาวุธชาวดรูซ กับกองกำลังชนเผ่าเบดูอิน ซึ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลซีเรีย ตั้งแต่ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 300 คน ซึ่งอิสราเอลได้ส่งกำลังทหารไปยังเมืองซูไวดา ตั้งแต่วันจันทร์ (14 กรกฎาคม)
โดยรัฐบาลอิสราเอลยังเรียกร้องให้รัฐบาลซีเรียถอนกำลังทหารออกจากเมืองซูไวดา ในขณะที่อิสราเอล แคทซ์ รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล โพสต์ข้อความผ่าน X ยืนยันว่า กองทัพอิสราเอลจะ “ยังคงปฏิบัติการในเมืองซูไวดา เพื่อทำลายกองกำลังที่โจมตีชาวดรูซต่อไป จนกว่าพวกเขาจะถอนกำลังออกไปทั้งหมด”
ขณะที่เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล กล่าวว่า กองทัพอิสราเอลกำลัง “ดำเนินการเพื่อช่วยเหลือชาวดรูซ และเพื่อกำจัดกองกำลังของรัฐบาลซีเรีย”
กระทรวงการต่างประเทศซีเรีย ได้ออกแถลงการณ์ภายหลังเกิดเหตุโจมตี โดยประณามอิสราเอลว่า “กระทำการรุกราน” และชี้ว่า การโจมตีดามัสกัสและซูไวดาของอิสราเอล “เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายอันเป็นระบบของอิสราเอล ที่ต้องการจุดชนวนความตึงเครียด ความวุ่นวาย และบ่อนทำลายความมั่นคงในซีเรีย”
ขณะที่ซีเรีย เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศ “ดำเนินการอย่างเร่งด่วน” ต่อการรุกรานของอิสราเอล แต่ยืนยันว่าซีเรียนั้นยังคงยินดีเปิดรับความพยายามของสหรัฐฯ และชาติอาหรับ ในการแก้ไขวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสันติ
ทางด้านอาห์เหม็ด อัล ชารา ประธานาธิบดีซีเรีย ได้แถลงผ่านโทรทัศน์ โดยประกาศจะเอาชนะความพยายามของอิสราเอลที่จะทำลายประเทศ และยืนยันว่าซีเรียปฏิเสธการแบ่งแยกทุกรูปแบบ พร้อมทั้งย้ำว่าชาวดรูซเป็นส่วนสำคัญของโครงสร้างประเทศซีเรีย และการปกป้องพวกเขาก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
ทั้งนี้ ล่าสุด สำนักข่าว SANA ของทางการซีเรีย รายงานว่ารัฐบาลซีเรีย ได้เริ่มถอนกำลังทหารออกจากเมืองซูไวดาแล้ว โดยระบุว่า เป็นไปตามข้อตกลงหยุดยิงระหว่างรัฐบาลซีเรียและผู้นำศาสนาของชาวดรูซภายในเมืองซูไวดา หลังจากที่กองทัพซีเรียเสร็จสิ้นภารกิจในการไล่ล่ากลุ่มนอกกฎหมาย
เหตุการณ์อิสราเอลโจมตีซีเรียดังกล่าว ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่กลุ่มกบฏที่นำโดยกองกำลังแนวร่วม HTS ของชาวมุสลิมนิกายซุนนี ได้โค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาด ในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ซึ่งอัล ชารา ผู้นำกลุ่ม HTS ได้ก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีในช่วงเปลี่ยนผ่าน ท่ามกลางการยอมรับจากสหรัฐฯ และชาติตะวันตก
โดยมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ โพสต์ข้อความผ่าน X ว่ารัฐบาลทรัมป์ได้ร่วมมือกับทุกฝ่ายในความขัดแย้งนี้ เพื่อยุติการปะทะในซีเรีย
“เราได้ตกลงกันในขั้นตอนเฉพาะเจาะจงที่จะนำสถานการณ์ที่น่าวิตกกังวลและน่าสะพรึงกลัวนี้ มาสู่จุดจบในคืนนี้ ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามพันธสัญญาที่ให้ไว้ และนี่คือสิ่งที่เราคาดหวังอย่างเต็มที่จากพวกเขา” รูบิโอกล่าว และอธิบายความตึงเครียดล่าสุดระหว่างอิสราเอลและซีเรียว่าเป็น “ความเข้าใจผิด”
ชนวนขัดแย้งชาวดรูซกับรัฐบาลใหม่ซีเรีย
ภายหลังการล่มสลายของรัฐบาลอัล อัสซาด ชาวดรูซ ซึ่งนับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ ได้ต่อต้านความพยายามของรัฐบาลซีเรียชุดใหม่ ในการเข้าควบคุมพื้นที่ซีเรียตอนใต้ โดยชาวดรูซจำนวนมากคัดค้านการส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลไปประจำการในซูไวดา และต่อต้านการผนวกรวมกองกำลังชาวดรูซเข้ากับกองทัพซีเรีย
ที่ผ่านมา แม้ว่ารัฐบาลซีเรียชุดใหม่จะให้คำมั่นในการฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยในซีเรียตอนใต้ แต่กองทัพรัฐบาลซีเรียก็ถูกกล่าวหาว่าโจมตีชนกลุ่มน้อยเช่นกัน
สถานการณ์ตึงเครียดทวีความรุนแรงขึ้น จากความรุนแรงทางศาสนาที่ปะทุขึ้นหลายครั้งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา รวมถึงในเดือนพฤษภาคม ซึ่งมีรายงานเหตุปะทะระหว่างกองกำลังชาวดรูซ กับกองกำลังความมั่นคงของรัฐบาล และกลุ่มติดอาวุธชาวมุสลิมที่สนับสนุนรัฐบาล จนทำให้มีผู้เสียชีวิตไปหลายสิบคน
ขณะที่อิสราเอลเข้ามามีบทบาทในความขัดแย้งในซีเรีย จากการวางตำแหน่งตนเองในฐานะพันธมิตรและผู้ปกป้องชนกลุ่มน้อยในภูมิภาค ซึ่งรวมถึงชาวเคิร์ด ชาวดรูซ และชาวอลาวีในซีเรีย
ภาพ: REUTERS/Khalil Ashawi
อ้างอิง: