ปืนลั่นแม้ไม่ได้เป็นเหตุปกติ แต่ก็ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีวิธีการแก้ไขให้ปืนที่ติดขัดไม่เกิดอันตรายกับผู้อื่นอยู่แล้ว
แต่สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกองทัพเรือไทย ในกรณีที่เรือหลวงชลบุรีพบปัญหากระสุนด้านระหว่างซ้อมรบ จึงกลับเข้าเทียบท่าเรือแหลมเทียนและพักไว้หนึ่งวัน ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะเกิดเหตุปืนลั่นใส่เรือหลวงคีรีรัฐในช่วงเที่ยงวันที่ 14 มีนาคมนั้น เรื่องนี้มีความแตกต่างจากกรณีอื่นสองประการ
ประการแรก ปืนที่ลั่นคือปืน OTO Melara 76/62 ซึ่งเป็นปืนหลักของเรือหลวงชลบุรี และปืนหลักของกองทัพเรือไทย ตัวเลข 76 หมายถึงขนาดของกระสุนที่มีขนาด 76 มิลลิเมตร ส่วนตัวเลข 62 เป็นเลขคาลิเบอร์ซึ่งก็คือความยาวของปืนมีขนาดเป็น 62 เท่าของขนาดลำกล้อง หรือในกรณีนี้คือ 4,724.4 เซนติเมตร
พูดง่ายๆ คือปืนที่กองทัพเรือทำลั่นนั้นคือปืนที่มีขนาดยาวเหมือนก้านธง ซึ่งทำกระสุนที่ใหญ่พอๆ กับหมอนข้างเด็กลั่นเข้าใส่เรือผู้โชคร้ายคือเรือหลวงคีรีรัฐที่จอดอยู่เฉยๆ แบบไม่รู้อีโหน่อีเหน่
และนั่นนำมาสู่ประการที่สองก็คือ การที่ปืนไปลั่นใส่เรือลำอื่นได้เป็นเพราะปลายกระบอกปืนต้องหันไปด้านนั้น คำถามคือเพราะเหตุใดจึงไม่หันปลายกระบอกปืนไปยังพื้นที่ปลอดภัย เช่น ภูเขาที่ไม่มีคนหรือกลางทะเล
โดยขณะเกิดเหตุ เป็นเวลาที่เจ้าหน้าที่สรรพาวุธมานำลูกปืนที่ด้านออกจากกระบอกปืน ซึ่งเราก็รู้ดีว่าคงไม่มีใครเชี่ยวชาญเรื่องปืนเรือมากไปกว่าเจ้าหน้าที่สรรพาวุธของกองทัพเรืออีกแล้ว แต่เราก็เชื่อเช่นกันว่ากรณีอันตรายแบบนี้ ถ้าเรารอบคอบ เราไม่น่าจะหันปืนเข้าไปในมุมที่ไม่ปลอดภัย
ยิ่งกระสุนที่บอกว่าขนาดใหญ่เท่าหมอนข้างเด็กนี้คือกระสุน 76×636 มิลลิเมตร บรรจุดินระเบิดหนัก 6.296 กิโลกรัม ยิงได้ไกล 16 กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย และที่สำคัญคือมันเป็นกระสุนที่ออกแบบมาให้ยิงเรือรบด้วยกันเอง จึงไม่แปลกใจที่แม้เรือคีรีรัฐจะมีเหล็กหนาๆ แต่กระสุนก็เจาะทะลุเข้าไปด้านในและระเบิดออกจนส่งผลให้เกิดความเสียหายค่อนข้างมาก
คืออุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ แต่อุบัติเหตุในลักษณะนี้ถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องที่สามารถป้องกันได้ หรืออย่างน้อยที่สุดคือลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้ถ้ามีกระสุนลั่นจริงๆ
ความโชคดีอย่างเดียวคือกระสุนโดนเรือหลวงคีรีรัฐในส่วนที่ยังไม่เกิดอันตรายมากนัก และลูกเรือของเรือหลวงคีรีรัฐสามารถควบคุมความเสียหายได้เป็นอย่างดีสมกับที่ถูกฝึกมา ทำให้ความเสียหายแม้จะรุนแรงแต่ก็ถูกจำกัดเอาไว้
แต่ถ้าโชคร้ายกว่านี้ กระสุนไปเข้าในจุดสำคัญที่สามารถทำให้เกิดระเบิดได้ เราอาจจะสูญเสียเรือหลวงคีรีรัฐหรือมีผู้เสียชีวิตไปเลยก็ได้ ที่สำคัญ ท่าเรือแหลมเทียนคือท่าเรือที่เป็นบ้านของกำลังรบเกือบ 70% ของกองทัพเรือ เรือเกินครึ่งของกองทัพเรือไทยจอดที่นี่ และถ้ามันระเบิดรุนแรงกว่านี้ มันอาจจะสร้างความเสียหายให้กับกำลังรบของกองทัพเรือไทยได้อีกมาก
พอได้ยินคำว่าความเสียหายต่อกองทัพเรือไทย เราคงรู้สึกได้ว่าช่วงหลายปีหลังมานี้เราได้ยินชื่อกองทัพเรือไทยหลายครั้ง แต่น่าเศร้าที่เราจะได้ยินชื่อนี้พ่วงมากับข่าวเชิงลบทั้งสิ้น ถ้าไม่นับเรื่องการซื้อเรือดำน้ำที่มีปัญหาเครื่องยนต์คาราคาซัง เอาแค่เฉพาะการทำงานในหน้าที่อย่างเดียว เราก็พบว่าปีกว่าๆ นี้มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นหลายครั้ง นอกจากกรณีเรือหลวงชลบุรีปืนลั่นแล้ว ยังมีกรณีเรือหลวงนเรศวรชนท่าเทียบเรือจนท่อตอร์ปิโดพัง และกรณีที่ร้ายแรงที่สุดคือเรือหลวงสุโขทัยล่ม ที่เรานึกไม่ออกว่าเรือรบแบบนี้มันล่มได้อย่างไรในอ่าวไทย
ในเมื่อเรื่องกลายมาเป็นแบบนี้ จึงชวนให้ประชาชนผู้เสียภาษีตั้งคำถามดังๆ ด้วยความหวังดีและเป็นห่วงจริงๆ ว่า ‘กองทัพเรือไหวไหม?’
เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันเหมือนนักฟุตบอลที่เล่นฟุตบอลไม่เก่ง เชฟที่ทำอาหารไม่อร่อย หรือชาวนาที่ปลูกข้าวไม่ขึ้น ซึ่งมันคืออุปมาอุปไมยของความสงสัยว่า กองทัพเรือเชี่ยวชาญในงานที่ตนเองทำหรือไม่ เนื่องจากเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของกองทัพเรือทั้งสิ้น
แน่นอนว่ากองทัพเรือไม่ได้เลวร้ายไปเสียทั้งหมด เพราะอย่างกรณีกระสุนด้านนั้น จริงๆ กองทัพเรือก็มีขั้นตอนและวิธีปฏิบัติเพื่อรับมือกับสถานการณ์และป้องกันอันตรายไว้แล้วอย่างชัดเจนมาก แต่คำถามก็คือกำลังพลของกองทัพเรือได้ปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านั้นอย่างเคร่งครัดหรือไม่ หรือคำถามที่ควรจะต้องถูกถามมากที่สุดก็คือ กองทัพเรือมีระบบที่จะควบคุมให้กำลังพลของกองทัพเรือปฏิบัติตามขั้นตอนที่ควรจะเป็นหรือไม่
ที่ต้องตั้งคำถามแบบนี้ก็คือมันอาจจะง่ายถ้าจะโทษว่าเป็นที่กำลังพลประมาทหรือไม่ใส่ใจ แต่ถ้าเรามองแค่นี้แล้วลงโทษหรือย้ายคนกลุ่มนี้ออกไปแล้วเอาคนกลุ่มใหม่เข้ามาแทน มันก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าคนกลุ่มใหม่จะไม่ทำพลาดแบบเดิม แต่ถ้ามีระบบที่ดี ต่อให้เปลี่ยนคนกี่กลุ่ม ความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุก็จะน้อยลง เพราะมีระบบคอยคุมอย่างเคร่งครัดแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น การซื้อเรือใหม่ก็ไม่ช่วยอะไร อ้อ…เรามั่นใจว่ากรณีนี้ไม่ใช่การที่กองทัพเรือตั้งใจจะทำให้มันเกิดขึ้นเพื่อจะได้หาเหตุในการขอซื้อเรือรบลำใหม่ เพราะเรามั่นใจ 100% ว่ากองทัพเรือไม่คิดอะไรเลวร้ายแบบนี้แน่นอน อันนี้ไม่ได้แซะด้วย มั่นใจแบบนี้จริงๆ เพราะเอาเข้าจริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบนี้มันกลายเป็นชวนให้ตั้งคำถามด้วยซ้ำว่าขนาดเรืออายุกว่า 40 ปี กองทัพเรือยังมีปัญหาในการใช้งานอย่างเหมาะสม แล้วแบบนี้จะปฏิบัติงานกับเรือใหม่ๆ ที่เทคโนโลยีทันสมัยได้หรือ ถ้าแบบนี้อย่าเพิ่งซื้ออาวุธแล้วไปฝึกให้ชำนาญก่อนไม่ดีกว่าหรือ
ดังนั้นการที่กองทัพเรือบอกว่าสอบสวนไม่กี่วันก็จบแล้วนั้นก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะเหมือนทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าสาเหตุมันคืออะไร แต่สิ่งที่เราอยากได้จากการสอบสวนคือ นอกจากจะสั่งลงโทษใครซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแล้ว ยังอยากรู้ว่ากองทัพเรือจะปรับปรุงแก้ไขขั้นตอน กระบวนการ กระบวนงาน หรือระบบของการทำงานของกองทัพเรือ ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ต้นเหตุหรือไม่ นี่ต่างหากที่จะเป็นการป้องกันและแก้ไขที่ยั่งยืน เพราะกรณีที่และอีกหลายๆ กรณี มันสะท้อนได้ค่อนข้างชัดเจนว่า กองทัพเรือกำลังมีปัญหาด้านมาตรฐานการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพเรือแล้ว
สุดท้ายแล้ว สิ่งที่อยากบอกจริงๆ ก็คือเราเห็นใจกองทัพเรือ กองทัพเรืออาจจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเป้าที่ประชาชนโจมตีมาหลายปี ทำอะไรก็ผิด ทำอะไรก็ถูกวิจารณ์ แต่ก็อยากให้กองทัพเรือมองในอีกมุมหนึ่งว่า ถ้ามันไม่มีเหตุการณ์อะไรแบบนี้ แล้วประชาชนจะเอาอะไรมาวิจารณ์
และการที่ประชาชนวิจารณ์มากๆ เข้า และนานๆ เข้า มันอาจจะไม่ใช่แค่กองทัพเรือต้องรำคาญในการมาตอบคำถามหรือได้ยินคำบ่นจากประชาชน แต่มันอาจทำให้ประชาชนเสียความเชื่อมั่นในกองทัพเรือได้ ซึ่งสิ่งนี้สำคัญมาก เพราะกองทัพเรือจะไม่สามารถทำอะไรได้สำเร็จเลยถ้าประชาชนไม่มั่นใจในตัวกองทัพเรือ
ดังนั้นวิธีที่จะกู้คืนความมั่นใจจากประชาชนได้ก็คือการที่กองทัพเรือต้องปฏิรูปตัวเองขนานใหญ่ ยอมรับว่ามีปัญหา และหาทางแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
เพราะประเทศไทยต้องการกองทัพเรือที่เข้มแข็งและมีศักยภาพในการดูแลผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และแผ่นดินสีครามของไทยขนาด 3.2 แสนตารางกิโลเมตรของเราให้คงอยู่ต่อไป
อย่าให้คำขวัญที่ว่ากองทัพเรือจะเป็น ‘กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ’ ที่ติดอยู่ที่ซุ้มประตูของกองทัพเรือนั้น กลายเป็นคำขวัญที่ไม่มีใครเชื่อถือ หรือกลายเป็นประโยคที่ประชาชนฟังแล้วก็ได้แต่ส่ายหัวเลย