รายงานจาก The Times ระบุชัดเจนว่า เชลซีได้เลือก เมาริซิโอ โปเชตติโน เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของสโมสร ซึ่งจะเข้ามาเริ่มงานหลังจบฤดูกาลนี้
การประกาศแต่งตั้งอย่างเป็นทางการคาดว่าจะมีขึ้นภายในเร็วๆ นี้ โดยที่กุนซือชาวอาร์เจนตินาจะถือเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่อย่างเป็นทางการของทีมจริงๆ ต่อจาก เกรแฮม พอตเตอร์ ที่ถูกปลดจากตำแหน่งไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี สิ่งที่น่าสนใจและเป็นคำถามที่ชวนขบคิดคือ ‘พอช’ คือคนที่ใช่สำหรับเชลซีจริงหรือ?
ย้อนกลับไปที่รายละเอียดของรายงานข่าวเอ็กซ์คลูซีฟจาก The Times ที่เปิดเผยเป็นเจ้าแรกคือ ภายหลังจากที่มีการขบคิดหาตัวเลือกมาเป็นระยะเวลานาน ผ่านออปชันที่น่าสนใจอย่าง หลุยส์ เอ็นริเก และ ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ สุดท้าย ทอดด์ โบห์ลี เจ้าของสโมสรชาวอเมริกัน ขอเลือกโปเชตติโนเป็นคนเข้ามาแก้ปัญหาภายในทีม
โดยจุดแรกที่ดูเหมือนโบห์ลีจะได้เรียนรู้ ‘เกมฟุตบอล’ จาก 1 ปีที่ผ่านมาคือ เรื่องของระยะเวลาในสัญญา จากที่เคยมอบสัญญาระยะยาวให้แก่พอตเตอร์ที่เข้ามารับตำแหน่งต่อจาก โธมัส ทูเคิล ที่ถูกปลดไปตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาลด้วยระยะเวลาถึง 5 ปี สัญญาของโปเชตติโนจะมีระยะเวลาที่สั้นกว่านั้น แต่ก็ไม่สั้นจนเกินไป
3 ปี หรือ 36 เดือน คือระยะเวลากลางๆ ที่เป็นค่ามาตรฐานสำหรับวงการฟุตบอลปัจจุบัน โดยเฉพาะในพรีเมียร์ลีกที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็ว เรียกได้ว่าอย่างน้อยก็มีการ ‘ถอดบทเรียน’ กันบ้างแล้ว
โดยบทเรียนนั้นเริ่มตั้งแต่การ ‘ใจด่วน’ กลัดกระดุมเม็ดแรกผิดด้วยการสั่งปลดทูเคิลตั้งแต่ช่วงต้นฤดูกาล นำไปสู่ฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดของเชลซีในรอบ 20 ปี เมื่อ ‘คนรุ่นใหม่’ ที่หวังจะนำสโมสรก้าวหน้าอย่างยั่งยืนอย่างพอตเตอร์กลายเป็นการตัดสินใจที่พลาดและผิด
โบห์ลียังซ้ำเติมทุกอย่างให้แย่ขึ้นไปอีก ด้วยการสร้างปัญหาใหม่ทับปัญหาเก่า โดยการซื้อผู้เล่นเข้ามาอีกมากมายในช่วงตลาดการซื้อ-ขายฤดูหนาวในเดือนมกราคม ทำให้พอตเตอร์ประสบปัญหาในการบริหารจัดการทีมอย่างรุนแรง
ลำบากไปยันเจ้าหน้าที่สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์ที่ต้องปรับปรุงห้องแต่งตัวใหม่ เพราะมีผู้เล่นเยอะมากจนเกินขนาดห้องแต่งตัวจะรับไหว
ก่อนที่จะทานกระแสไม่ไหว จำใจต้องปลดพอตเตอร์พ้นจากตำแหน่ง และเลือกที่จะ ‘ซื้อเวลา’ ในการพิจารณาหาคนที่ใช่ด้วยการให้ แฟรงก์ แลมพาร์ด อดีตนักเตะระดับตำนานของสโมสรและอดีตผู้จัดการทีม กลับมารักษาการประคองทีมเข้าเส้นชัยให้สวยงามในช่วงที่เหลือของฤดูกาล
ผลที่ได้คือ 9 นัดนับตั้งแต่ที่แลมพาร์ดรับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 เมษายน เชลซีเอาชนะคู่แข่งได้เพียงแค่เกมเดียวเท่านั้น โดยนัดล่าสุดต้องไล่ตามตีเสมอน็อตติงแฮม ฟอเรสต์ ที่ลุ้นหนีตกชั้นอย่างยากลำบาก ส่วนโปรแกรมที่เหลือของฤดูกาลอีก 3 นัด คือ การพบกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด
บทบาทของเชลซีในช่วงที่เหลือนี้จึงเป็นเรื่องของการเป็น ‘ตัวแปร’ สำหรับทีมอื่น และความภาคภูมิใจของสโมสรที่เป็นสิ่งที่ต้องดูกันว่า แลมพาร์ดจะปลุกใจลูกทีมขึ้นหรือไม่
กลับไปที่โปเชตติโนกับภารกิจของเขาอีกครั้ง ในสัญญา 3 ปีที่ได้รับ เขามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องทำ
- นำเชลซีกลับมาเป็นทีมที่ต้องประสบความสำเร็จอีกครั้งในระยะเวลาอันรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
- สร้าง Identity ของทีมขึ้นมาใหม่ หลังจากที่เละเทะอย่างมากในฤดูกาลปัจจุบัน
- บริหารจัดการขุมกำลังของทีมใหม่ทั้งหมด ผ่องถ่ายผู้เล่นที่ไม่อยู่ในแผนการทำทีมออกไป เพื่อกระชับขนาดทีม ลดปัญหาผู้เล่นเยอะจนเกินไป
จากที่เห็น พอจะพูดได้ว่าแต่ละอย่างไม่ใช่งานง่ายเท่าไรนัก โดยเฉพาะการทำงานใต้แรงกดดันและความคาดหวังมหาศาลจากทั้งแฟนบอลและนายทุนของสโมสรอย่างโบห์ลี รวมถึง Clearlake Capital ที่เป็นเจ้าของสโมสรร่วมกัน
อย่างไรก็ดี ดูเหมือนฝ่ายบริหารของเชลซี ซึ่งรวมถึง พอล วินสแตนลีย์ และ ลอว์เรนซ์ สจวร์ต สองผู้อำนวยการสโมสรร่วม ซึ่งใช้เวลาตลอด 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา ในการพยายามหาคนที่ดีที่สุดสำหรับเชลซีในสถานการณ์ปัจจุบันค่อนข้างเชื่อใจในฝีมือของโปเชตติโน
ถึงจะว่างงานมาเกือบปีนับจากที่ถูกปารีส แซงต์ แชร์กแมง ปลดพ้นจากตำแหน่งในช่วงสิ้นสุดฤดูกาลที่แล้ว แต่โปเชตติโนก็ถือเป็นหนึ่งในโค้ชระดับท็อปของวงการ
ในช่วงที่เนื้อหอมสุดๆ เคยเป็นข่าวกับสโมสรยักษ์ใหญ่ของโลกทั้งบาร์เซโลนา, เรอัล มาดริด และแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาก่อน แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่มีโอกาสไปร่วมงานกับสโมสรเหล่านั้นเลยก็ตาม
กลิ่นหอมนั้นอาจจางหายลงไปบ้าง แต่โปเชตติโนก็ถือเป็นผู้จัดการทีมมีฝีมือของวงการ และที่สำคัญคือมีประสบการณ์ในการคุมสโมสรระดับพรีเมียร์ลีกมาแล้วทั้งกับเซาแธมป์ตัน ที่สร้างชื่อให้เขาก่อนจะย้ายมาเป็นดาวเด่นของวงการกับท็อตแนม ฮอตสเปอร์
กับสเปอร์ส โปเชตติโนพาทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ระยะเวลาสั้นๆ และเคยผงาดเข้าชิงแชมเปียนส์ลีกมาแล้วในปี 2019 แม้ว่าสุดท้ายจะพ่ายต่อลิเวอร์พูลก็ตาม
จุดเด่นของพอช นอกจากความเก่งกาจเรื่องของการวางแท็กติกและกลยุทธ์การเล่นที่ชาญฉลาดแล้ว ยังมีเรื่องของ Man Management ที่สามารถบริหารจัดการผู้เล่นได้อย่างดี ใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่า และดึงศักยภาพของผู้เล่นออกมาให้ถึงขีดสุดได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็พอจะบอกได้ว่ามีส่วนในการ ‘ปั้น’ ซูเปอร์สตาร์มาแล้วหลายคน
แฮร์รี เคน, ซนฮึงมิน หรือแม้แต่ ซาดิโอ มาเน ก็เคยผ่านการปลุกปั้นของโปเชตติโนมาแล้ว ซึ่งจุดนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่ฝ่ายบริหารของเชลซีคาดหวังว่าเขาจะสามารถช่วยทำให้ผู้เล่นอย่าง เอ็นโซ เฟร์นานเดซ, มิไคโล มูดริก และ คริสโตเฟอร์ เอ็นกุนกู ที่ซื้อมาด้วยค่าตัว 106, 88 และ 60 ล้านปอนด์ ตามลำดับ สามารถฉายแววโดดเด่นได้
โทนี คาสคาริโน อดีตกองหน้าระดับตำนานทีมชาติไอร์แลนด์ ซึ่งเคยเป็นประธานสโมสรซันเดอร์แลนด์ วิเคราะห์การแต่งตั้งโปเชตติโนว่า ‘เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุด’ ของโบห์ลีและฝ่ายบริหารตั้งแต่เข้ามาเทกโอเวอร์สโมสรเชลซีเลยทีเดียว
เพราะนอกจากจะมือถึง ยังพึ่งพาได้เรื่องของประสบการณ์ ซึ่งนอกจากการคุมทีมในพรีเมียร์ลีก โปเชตติโนยังเคยผ่านการคุมทีมระดับ Elite อย่างปารีส แซงต์ แชร์กแมง เจอกับนักเตะระดับนามอุโฆษอย่าง เนย์มาร์, คีเลียน เอ็มบัปเป และ ลิโอเนล เมสซี มาแล้ว
แม้ว่ามันจะจบลงด้วยความล้มเหลวก็ตาม ประสบการณ์ในช่วงเวลานั้นมีค่าอย่างยิ่ง
ที่สำคัญคือ โปเชตติโนรอคอยงานมาเกือบ 1 ปีเต็ม แบตที่เคยอ่อนน่าจะได้รับการชาร์จจนเต็ม และพร้อมสำหรับการกลับมาพิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในลีกที่เคยสร้างชื่อให้เขา ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นลีกที่แข็งแกร่งและท้าทายที่สุดในโลกไปแล้วอย่างพรีเมียร์ลีก
มองแล้วการเลือกโปเชตติโนของเชลซีจึงเป็นตัวเลือกที่ดีพอสมควร อย่างน้อยก็อาจจะดีที่สุดในเวลานี้
แต่จะถูกใจแฟนเชลซีด้วยหรือไม่นั้น? เธอชอบเขาไหมช่วยบอกฉันที
อ้างอิง:
- https://www.thetimes.co.uk/article/mauricio-pochettino-agrees-deal-to-become-chelsea-head-coach-q8gvcdjc6
- https://www.thetimes.co.uk/article/chelsea-target-new-chief-executive-from-todd-boehly-s-business-empire-2q2kg5kfc
- https://www.thetimes.co.uk/article/appointing-mauricio-pochettino-is-todd-boehly-s-best-move-by-far-5dggnjpsn