ประธานาธิบดีฮัสซัน โรฮานีแห่งอิหร่านเตือนว่า สหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับเรื่องเศร้าโศกครั้งประวัติศาสตร์ หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจคว่ำข้อตกลงนิวเคลียร์ที่อิหร่านจัดทำขึ้นร่วมกับ 6 ชาติมหาอำนาจ รวมถึงสหรัฐฯ ในยุคของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา ขณะที่เส้นตายการตัดสินใจของทรัมป์ในวันที่ 12 พฤษภาคมกำลังใกล้เข้ามา
โรฮานีแถลงสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งชาติเมื่อวานนี้ว่า “หากอเมริกาหันหลังให้กับข้อตกลงนิวเคลียร์ พวกเขาจะต้องเสียใจกับผลกระทบที่ตามมาอย่างหนีไม่พ้น เพราะอิหร่านได้เตรียมมาตรการตอบโต้สหรัฐฯ ไว้แล้ว และเราก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับมัน”
นอกจากนี้ผู้นำอิหร่านยังยืนกรานด้วยว่าโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นโครงการเพื่อสันติ และจะไม่ยอมกลับเข้าเจรจาเพื่อทำข้อตกลงฉบับใหม่อีกครั้ง
ขณะเดียวกันอิหร่านยังกล่าวหานายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลว่าโกหกหลอกลวง หลังจากผู้นำยิวได้เปิดโปงเอกสารโครงการนิวเคลียร์ลับของอิหร่าน ซึ่งบ่งชี้ว่าอิหร่านมีการลักลอบพัฒนานิวเคลียร์ก่อนปี 2003 รวมถึงได้รับโนว์ฮาวเทคโนโลยีนิวเคลียร์มาโดยมิชอบ ซึ่งละเมิดข้อตกลงนานาชาติ อย่างไรก็ดีอิหร่านแก้ต่างว่า เอกสารเหล่านั้นเป็นข้อพิพาทเก่าที่มีการสะสางกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ซึ่งเป็นองค์การชำนัญพิเศษของสหประชาชาติไปก่อนหน้านี้แล้ว
ทั้งนี้ประเด็นนิวเคลียร์อิหร่านได้กลับมาอยู่ในความสนใจของผู้คนทั่วโลกอีกครั้ง หลังทรัมป์ส่งสัญญาณเตรียมหันหลังให้กับข้อตกลงร่วมว่าด้วยแผนปฏิบัติการฉบับครอบคลุม หรือ ‘Joint Comprehensive Plan of Action’ (JCPOA) ซึ่งจัดทำขึ้นในปี 2015 เนื่องจากเขาไม่เห็นด้วยและวิจารณ์ข้อตกลงนี้ว่าเป็นความหายนะ ถึงแม้อิหร่านจะรับเงื่อนไขยอมลดจำนวนเครื่องหมุนเหวี่ยงที่ใช้สำหรับเสริมสมรรถนะแร่ยูเรเนียมในโครงการนิวเคลียร์ เพื่อแลกกับการให้นานาชาติยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร
ก่อนหน้านี้อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ได้เรียกร้องให้ทรัมป์ใคร่ครวญอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง พร้อมกับเตือนความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามขึ้น หากทุกฝ่ายไม่รักษาข้อตกลงนี้เอาไว้ เนื่องจากเวลานี้ยังไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า
เช่นเดียวกับอังกฤษ เยอรมนี และฝรั่งเศส ที่พยายามโน้มน้าวให้ผู้นำสหรัฐฯ ยึดถือข้อปฏิบัติในข้อตกลงเดิม เนื่องจากเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะหยุดยั้งอิหร่านไม่ให้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ต่อ
ด้าน บอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหราชอาณาจักรได้เดินทางไปยังกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อหารือกับเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวในประเด็นปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน โดยในระหว่างการเยือน 2 วัน จอห์นสันยังมีกำหนดพบหารือกับไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ และจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ด้วย
สำหรับเส้นตายวันที่ 12 พฤษภาคมนี้ถือเป็นวันสิ้นสุดช่วงเวลา 120 วันที่รัฐบาลสหรัฐฯ จะทำการประเมินและทบทวนรายละเอียดของข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่ทรัมป์จะคว่ำข้อตกลง หากสภาคองเกรสและชาติมหาอำนาจยุโรปไม่ยอมแก้ไขจุดบกพร่องในข้อตกลง ซึ่งมีการจำกัดเพียงกิจกรรมทางนิวเคลียร์ของอิหร่านภายในกรอบเวลาที่กำหนด แต่ไม่ได้ห้ามอิหร่านพัฒนาขีปนาวุธแต่อย่างใด
อ้างอิง:
