ภายหลังอิสราเอลเปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่เมื่อวันศุกร์ (13 มิถุนายน) มุ่งเป้าทำลายโรงงานนิวเคลียร์ ฐานปล่อยขีปนาวุธ และสังหารผู้บัญชาการระดับสูงของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) รวมถึง ฮอสเซน ซาลามี อิหร่านได้เปิดฉากโต้กลับครั้งใหญ่ภายใต้ชื่อ ‘ปฏิบัติการคำมั่นสัญญาที่แท้จริง III’ (Operation True Promise III)
ในการโต้กลับครั้งนี้ อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธพิสัยกลางมากกว่า 150 ลูก และปล่อยโดรนโจมตีกว่า 100 ลำ พุ่งเป้าใส่หลายพื้นที่ทั่วอิสราเอล รวมถึงฐานทัพและเขตเมืองสำคัญ เช่น เทลอาวีฟ และพื้นที่ใกล้กรุงเยรูซาเลม การโจมตีเกิดขึ้นเป็นระลอกๆ ส่งผลให้มีการเปิดไซเรนเตือนภัยทั่วอิสราเอล และในประเทศเพื่อนบ้านอย่างจอร์แดน ซึ่งกองทัพอากาศจอร์แดนได้สกัดโดรนบางส่วนที่รุกล้ำน่านฟ้า
แม้ว่าอิสราเอลจะมีระบบป้องกันภัยทางอากาศขั้นสูง และสามารถสกัดขีปนาวุธและโดรนได้เป็นจำนวนมาก แต่ยังมีบางลูกที่พุ่งเข้าถึงเป้าหมาย โดยเฉพาะในเขตเทลอาวีฟซึ่งได้รับความเสียหายและมีผู้บาดเจ็บหลายราย รายงานระบุว่ามีชาวอิสราเอลบาดเจ็บอย่างน้อย 63 คน ในจำนวนนี้มีพลเรือนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีอาคารที่พักอาศัย
ขณะเดียวกัน ยังมีรายงานว่า ขีปนาวุธจากกลุ่มฮูตีในเยเมน ซึ่งเป็นพันธมิตรของอิหร่าน ได้พุ่งเข้ามายังเมืองเฮบรอนในเขตเวสต์แบงก์ ทำให้ชาวปาเลสไตน์ได้รับบาดเจ็บ 5 คน
ในฝั่งอิหร่าน อยาตอลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุด กล่าวประณามการโจมตีของอิสราเอลว่าเป็น ‘การกระทำที่ชั่วร้ายและนองเลือด’ พร้อมประกาศว่า อิหร่านจะตอบโต้ด้วยวิธีที่ ‘เด็ดขาดและรุนแรง’ ขณะที่ IRGC ระบุว่า การตอบโต้ของอิหร่านครั้งนี้เป็น ‘การโจมตีที่แม่นยำและบดขยี้’ โดยมุ่งเป้าทำลายฐานทัพอิสราเอลหลายแห่ง
สื่อทางการของอิหร่านยืนยันว่า ฮอสเซน ซาลามี ผู้บัญชาการสูงสุดของ IRGC เสียชีวิตจากการโจมตีของอิสราเอล รวมถึงมีความเสียหายที่สำนักงานใหญ่ของ IRGC ในกรุงเตหะราน
รัฐบาลอิสราเอลประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วประเทศ และเปิดไซเรนเตือนภัยให้พลเรือนเข้าหลุมหลบภัยตลอดการโจมตี ฝ่ายความมั่นคงอิสราเอลสามารถสกัดขีปนาวุธและโดรนได้ส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางจุดที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองหลวงทางเศรษฐกิจอย่างเทลอาวีฟ
ความขัดแย้งที่ปะทุขึ้นครั้งนี้ทำให้ชุมชนชาวยิวในหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และสหรัฐฯ ถูกยกระดับการรักษาความปลอดภัย และมีการออกคำเตือนให้ระวังภัยที่อาจเกิดขึ้นจากแรงสะเทือนของความรุนแรงในตะวันออกกลาง
ด้านสหรัฐฯ ได้อพยพกำลังพลบางส่วน รวมถึงครอบครัวของทหารจากฐานทัพในตะวันออกกลาง ออกนอกพื้นที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการปะทะที่จะขยายวง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านของอิสราเอล เช่น จอร์แดนและเลบานอน ได้เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังทางทหารอย่างเข้มข้น
ตลาดการเงินทั่วโลกมีปฏิกิริยาผันผวนอย่างเห็นได้ชัด จากความกังวลว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอาจกระทบต่อเสถียรภาพของภูมิภาค และส่งผลต่ออุปทานพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมัน ที่อาจได้รับผลกระทบหากสถานการณ์ลุกลาม
ภาพ: Ammar Awad / REUTERS
อ้างอิง: