×

‘iPhone 13 Pro’ ความจุ 1TB สีใหม่ Sierra Blue จอใหญ่ขึ้นต้อง Apple Watch Series 7 และ New iPad mini สรุปงานเปิดตัว Apple มีอะไรใหม่บ้าง

15.09.2021
  • LOADING...
iphone 13

HIGHLIGHTS

6 mins. read
  • iPhone 13 Pro และ 13 Pro Max มาพร้อมกับการเพิ่มความจุที่มากที่สุดเท่าที่ iPhone เคยมีมาที่ 1TB และสีใหม่ ‘ฟ้า Sierra Blue’ รองรับจอแสดงผล 120HZ แล้ว
  • ขณะที่ iPhone mini ใน iPhone 13 mini ก็ยังคงเป็นโมเดลเล็กสุดที่ทาง Apple ยังคงสานต่อเปิดตัววางจำหน่ายในปีนี้ แม้นักวิเคราะห์หลายคนจะมองว่าโมเดล mini ของ Apple ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรก็ตาม
  • Apple Watch Series 7 มาพร้อมกับขนาดตัวเรือนที่ใหญ่ขึ้น 1 นิ้วเป็น 41 มิลลิเมตร และ 45 มิลลิเมตร จุดเด่นคือการที่หน้าจอของ Apple Watch Series 7 แข็งแรงทนทานกว่าเดิม โดยเป็น Apple Watch รุ่นแรกที่มาพร้อมมาตรฐาน IP6X ในการกันฝุ่น 

งาน Apple Keynote ในปีนี้ยังคงจัดขึ้นในรูปแบบ Virtual Event เช่นเคยตามมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคมและสถานการณ์โควิด โดยงานปีนี้จัดขึ้นตรงกับวันพุธที่ 15 กันยายนตามเวลาประเทศไทย (หรือตรงกับวันอังคารที่ 14 กันยายนตามเวลาสหรัฐฯ) งานเริ่มต้นขึ้นด้วยการโหมโรงเพลง California Soul ก่อนที่ ทิม คุก ซีอีโอของ Apple จะขึ้นมากล่าวต้อนรับบนเวที และอธิบายถึงความสำคัญของแคลิฟอร์เนีย ที่ตั้งของ Apple Campus จุดเริ่มต้นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกของ Apple ทั้งยังเป็นดินแดนสำหรับผู้คนที่มีความฝัน พลังงาน และความมุ่งมั่นในการสรรค์สร้างสิ่งต่างๆ อีกด้วย

 

และแน่นอนว่างานเปิดตัวในปีนี้ Apple ยังคงขนเอาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เด็ดๆ มาเปิดตัวในงานแบบจัดเต็มไม่มีกั๊ก ส่วนจะมีอะไรใหม่บ้าง น่าสนใจมากน้อยแค่ไหน  เราได้สรุปมาไว้ให้คุณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

iPhone 13 Pro และ Pro Max เพิ่มความจุ 1TB และสีใหม่ ‘ฟ้า Sierra Blue’ รองรับจอแสดงผล 120HZ แล้ว

  • iPhone 13 โมเดลท็อปมาให้เลือกกันถึง 2 โมเดลเช่นเคย คือ iPhone 13 Pro และ iPhone 13 Pro Max
  • จอ OLED Super Retina XDR Display ขนาด 6.1 นิ้วในโมเดล 13 Pro และ 6.7 นิ้ว ใน 13 Pro Max (ขนาดเดียวกันกับ iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max ไม่มีเปลี่ยนแปลง) เคลือบ Ceramic Shield เพิ่มความแข็งแรงทนทาน
  • ความสว่างจอสูงสุดที่ 1000 Nits ใช้งานกลางแจ้งสว่างกว่าปกติที่ 25%
  • ความต่างที่ชัดเจนและถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงคือความสามารถในการรองรับการแสดงผลจอแบบ ProMotion ที่ให้อัตราการแสดงผลเฟรมเรท (Adaptive Refresh) สูงสุด 120HZ เพื่อความลื่นไหลของการแสดงผลคอนเทนต์ความบันเทิง เกมและสิ่งต่างๆ บนหน้าจอ
  • ตัวเครื่องมีให้เลือกด้วยกันถึง 4 สี คือ ดำ Graphite, ทอง Gold, เงิน Silver และสีใหม่ ฟ้า All-new Sierra Blue วัสดุตัวเครื่องใช้ขอบแบบสเตนเลสสตีล หรูหรา ดีไซน์เครื่องเหมือน iPhone 12 ขอบแบน มุมโค้งมน 
  • ใช้ชิปประมวลผล A15 Bionic ซีพียูแบบ 6-Core และ GPU แบบ 5-Core ซึ่ง Apple เคลมว่าประมวลผลกราฟิกได้เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟนทุกรุ่นในเวลานี้
  • กล้องหลัง 3 ตัวแบบใหม่ Tele (ขนาด 77 มิลลิเมตร ซูมได้สูงสุด 3 เท่า (ซูมรวม 3 กล้องสูงสุด 6 เท่า)), Wide (เซ็นเซอร์ใหญ่ขึ้น 1.9 um พิกเซล ช่วยให้ลด Noise และกดสปีดชัตเตอร์ได้เร็วขึ้น รูรับแสงขนาด ƒ/1.5) และ Ultra Wide (มาพร้อมระบบ Auto Focus ช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้นกว่าเดิม 92% มาพร้อมรูรับแสง ƒ/1.8
  • มีโหมดถ่ายรูป Macro Photography ช่วยให้ถ่ายรูปกำลังขยายวัตถุที่มีระยะโฟกัสใกล้สุด 2 เซนติเมตร ขยายภาพให้ใหญ่ขึ้น เห็นชัดยันเซลล์ใบไม้หรือเกสรดอกไม้
  • รองรับการถ่ายวิดีโอคมชัดระดับ 4K/30fps ในโหมด ProRes Video ที่ให้ระดับความคมชัดของสีละเอียดเทียบเท่าการถ่ายโฆษณาเชิงพาณิชย์​ ถ่ายภาพยนตร์จริงจัง
  • รองรับ 5G และการใช้งานคู่กับอุปกรณ์ด้วยเทคโนโลยี MagSafe
  • ราคาเริ่มต้น 13 Pro อยู่ที่ 38,900 บาท และ 13 Pro Max อยู่ที่ 42,900 บาท (ราคาเท่าเดิม เมื่อเทียบกับ 12 Pro และ 12 Pro Max)
  • แบตเตอรี่ในโมเดล 13 Pro อึดกว่า 12 Pro ชั่วโมงครึ่ง และในรุ่น 13 Pro Max ใช้งานได้นานกว่า 12 Pro Max สองชั่วโมงครึ่ง ทำให้ Apple เคลมว่าเป็น iPhone ที่แบตเตอรี่อึดที่สุดเท่าที่เคยมีมา
  • อีกหนึ่งจุดที่เปลี่ยนแปลงคือ การเพิ่มทางเลือกความจุใหม่สูงสุดเท่าที่เคยมีมาใน iPhone ที่ 1TB (ราคา 58,900-62,900 บาท) เท่ากับว่าใน iPhone 13 Pro Max จะมีขนาดความจุถึง 4 แบบให้เลือก คือ 128GB, 256GB, 512GB และ 1TB นั่นเอง
  • เริ่มเปิดให้สั่งจองตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม และวางจำหน่ายวันที่ 8 ตุลาคมเป็นต้นไป (กำหนดการไทย)

 

 

iPhone 13 มาให้เลือก 5 สี ชิป A15 Bionic น้องสุดท้อง mini ยังได้ไปต่อนะ

  • iPhone 13 ยังมาให้เลือกใน 2 โมเดลเช่นเคย ใช้จอ OLED Super Retina XDR Display ขนาด 5.4 ใน iPhone 13 mini และ 6.1 นิ้ว ใน iPhone 13 เคลือบ Ceramic Shield เพิ่มความแข็งแรง ทนทาน
  • แสดงผลสว่างสูงสุดในที่กลางแจ้ง 800 Nits เพิ่มขึ้นจากปกติ 28% และรองรับความสว่างสูงสุดที่ 1200 Nits สำหรับคอนเทนต์ภาพและวิดีโอแบบ HDR
  • ขอบตัวเครื่องเป็นอะลูมิเนียม (วัสดุหน้าหลังบอดี้เครื่องเป็นกระจก) มีให้เลือก 5 สี แดง (Product) Red, ทอง Starlight, ดำ Midnight, ฟ้า Blue และชมพู Pink
  • ใช้ชิปประมวลผล A15 Bionic ซีพียูแบบ 6-Core เคลมว่าเร็วกว่าคู่แข่งในเซกเมนต์เดียวกัน 50% และใช้ GPU แบบ 4-Core ประมวลผลกราฟิก
  • ใช้กล้องหลัง 2 ตัว – Wide (เซ็นเซอร์ใหม่ใหญ่ขึ้นที่ 1.7 µm พิกเซล ช่วยให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อย ลด Noise และเก็บแสงได้ดีขึ้นกว่าเดิม 47%) และ Ultra Wide Camera (เซ็นเซอร์แบบใหม่ช่วยให้ถ่ายภาพและวิดีโอในที่แสงน้อย ลด Noise ได้ดี) ความคมชัดระดับ 12 ล้านพิกเซลทั้งสองเลนส์
  • รองรับการถ่ายวิดีโอแบบ Cinematic Mode ซึ่งการทำงานในโหมดนี้จะช่วยให้ผู้ใช้งานสมารถปรับโฟกัสจากวัตถุหนึ่งไปสู่อีกวัตถุตอนถ่ายวิดีโอได้มีความลื่นไหลและทำได้สมูทขึ้น รองรับการทำงานในโหมด HDR และ Dolby Vision
  • รองรับการทำงาน 5G 
  • แบตเตอรี่บน iPhone 13 mini ใช้ได้นานกว่า 12 mini ชั่วโมงครึ่ง ส่วน iPhone 13 ใช้ได้นานกว่าเดิมสองชั่วโมงครึ่ง และรองรับการใช้งานกับระบบ MagSafe
  • ราคาเริ่มต้นใน iPhone 13 mini อยู่ที่ 25,900 บาท mini และ iPhone 13 อยู่ที่ 29,900 บาท (ราคาเท่าเดิม เมื่อเทียบกับ 12 และ 12 mini)
  • ความจุ 3 ขนาด เริ่มที่ 128GB (อัพจาก iPhone 12 ที่เดิมเริ่ม 64GB), 256GB และเพิ่ม 512GB มาให้อีกทางเลือกด้วย (จากเดิมสูงสุดที่ 256GB)
  • เริ่มเปิดให้สั่งจองตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม และวางจำหน่ายวันที่ 8 ตุลาคมเป็นต้นไป (กำหนดการไทย)

 

 

Apple Watch Series7 จอใหญ่ขึ้น และเคลมว่าแข็งแรงที่สุดเท่าที่ Apple เคยผลิตมา

  • Apple Watch Series 7 มาพร้อมกับจอที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม มีให้เลือก 2 ขนาดหน้าปัดเรือนนาฬิกาที่ 41 มิลลิเมตร และ 45 มิลลิเมตร (ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 1 มิลลิเมตร ทั้งสองโมเดล) 
  • ตัวบอดี้เรือนนาฬิกา ขอบจอตัวเรือนขนาด 1.7 มิลลิเมตร บางลง 40% เมื่อเทียบกับ Series 6 ขอบมีความโค้งมนมากขึ้น จอสว่างกว่าเดิม 70% ในโหมด Always-on ที่สว่างตลอดเวลาในการแสดงผลในที่ร่ม โดยทาง Apple เคลมว่า Apple Watch ของพวกเขาเป็นนวัตกรรมจอนาฬิกา Smart Watch ที่ล้ำที่สุดในตลาดตอนนี้
  • ด้วยขนาดจอที่ใหญ่ขึ้น และขอบจอที่บางลง จึงทำให้เราสามารถใช้คีย์บอร์ดพิมพ์ข้อความจากจอ Apple Watch Series 7 ได้แล้ว (แต่ยังเป็นการใช้แบบ QuickPath ปาดตัวอักษรบนแป้นลากไปมา) ทำงานร่วมกับ AI และแมชชีนเลิร์นนิงที่ทำให้คาดเดาคำล่วงหน้าเพื่อช่วยเพิ่มความง่ายในการพิมพ์ข้อความต่างๆ ได้ด้วย
  • หน้าจอของ Apple Watch Series 7 แข็งแรง ทนทานกว่าเดิม โดยเป็น Apple Watch รุ่นแรกที่มาพร้อมมาตรฐาน IP6X ในการกันฝุ่น ส่วนความสามารถในการกันน้ำอยู่ที่ระดับ WR50
  • ชาร์จแบตเตอรี่เร็วขึ้นกว่า Apple Watch Series 6 ถึง 33% โดยชาร์จแค่ 8 นาทีก็เพียงพอต่อการใช้งาน ตรวจจับการนอนหลับถึง 8 ชั่วโมง ตัวแบตเตอรี่อึด พร้อมรองรับการใช้งานตลอดทั้งวันสูงสุด 18 ชั่วโมง (ชาร์จวันต่อวัน) 
  • ตัวเรือนมีให้เลือก 5 สีในรุ่นอะลูมิเนียม คือ ดำ, ทอง, เขียวเข้ม, ฟ้า และแดง (Product) Red และ 3 สีในรุ่นสเตนเลส คือ เงิน, ดำกราไฟต์ ทอง และสี Natural และ Space Black ในวัสดุไทเทเนียม
  • รองรับการตรวจ ECG ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และวัดค่าออกซิเจนในเลือดเช่นเคย
  • ราคาเริ่มต้น 399 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 13,200 บาท (ราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยยังไม่เปิดเผย) เริ่มจำหน่ายฤดูใบไม้ร่วงนี้ (คาดว่าช่วงปลายเดือนกันยายนเป็นต้นไป)

 

 

New iPad ใช้ Apple Pencil ได้ กล้องหน้า Ultra Wide มีฟีเจอร์แทร็กตามตัว Central Stage เหมือน iPad Pro

  • iPad โมเดลใหม่ มาพร้อมกับหน้าจอ Retina Display ขนาด 10.2 นิ้ว รองรับการแสดงผล True Tone
  • จุดเด่นคือกล้องหน้าความคมชัดระดับ 12MP เลนส์ Ultra Wide มีฟีเจอร์ Center Stage แบบเดียวกับใน iPad Pro ที่ทำงานร่วมกับ Neural Engine ช่วยให้การใช้งานแอปฯ วิดีโอคอล หรือแอปฯ ประชุมทางไกลผ่านวิดีโอ ตัวกล้องหน้าจะแทร็กตามคนในกล้องหน้า ซูมเข้าซูมออกอัตโนมัติ (ใช้ผ่านแอปฯ Zoom หรือ Webex ของ Cisco หรือแอปฯ​ พาร์ตเนอร์ก็ได้เช่นกัน) 
  • ตัวเครื่องใช้ชิป A13 Bionic เร็วขึ้นจากรุ่นก่อน 20% ทั้งในแง่ CPU, GPU และ Neural Engine โดยเคลมว่าเร็วกว่าแท็บเล็ตตัวท็อปของระบบปฏิบัติการคู่แข่ง Android มากถึง 6 เท่าตัว
  • รองรับการใช้งานคู่กับ Apple Pencil (1st Generation) และ Smart Keyboard
  • มี 2 ขนาดความจุ คือ 64GB และ 256GB ราคาเริ่มต้น 11,400 บาท
  • มีให้เลือก 2 สี คือ สีเงินหรือสีเทาสเปซเกรย์ เริ่มให้สั่งจองแล้วตั้งแต่วันนี้ และวางจำหน่ายวันที่ 24 กันยายนเป็นต้นไป

 

 

New iPad mini 4 สีใหม่สุดต๊าชช จิ๋วแจ๋วเพราะใช้คู่ Apple Pencil รองรับ 5G ด้วย

  • New iPad mini โมเดลใหม่มาพร้อมกับจอ Liquid Retina ขนาด 8.3 นิ้ว รองรับการแสดงผลแบบ True Tone และ Wide Color ขอบเขตสีกว้างแบบP3 แสดงผลความสว่างสูงสุด 500 Nits
  • จอดีไซน์แบบใหม่ ขอบตัวเครื่องโค้งมน บาง
  • อัปเกรดใหม่จัดเต็มกว่าเดิมในตัวเครื่องแท็บเล็ตที่กะทัดรัด ขอบเครื่องแบบโค้งมน ตัวเครื่องมีให้เลือก 4 สี  คือ ม่วง, ชมพู, ทอง และเทา ใช้งานร่วมกับ Apple Pencil (2nd Generation) ได้
  • ปุ่ม Touch ID อยู่ที่ด้านบนตัวเครื่อง ใช้สำหรับปลดล็อกเครื่องหรือยืนยันตัวตนผู้ใช้งานเพื่อทำธุรกรรมต่างๆ ผ่านการสแกนลายนิ้วมือ
  • ชิปประมวลผล A15 Bionic ส่วน CPU แบบ 6-Core เร็วกว่าเดิม 40% GPU แบบ 5‑Core เร็วกว่ารุ่นก่อนหน้า 80% มาพร้อมกับ Neural Engine ที่ทำงานพร้อมกับแมชชีนเลิร์นนิง ช่วยให้ประมวลผลต่างๆ ได้เร็วขึ้นกว่ารุ่นเดิม 2 เท่าตัว 
  • รองรับ USB-C Port ช่วยให้โอนถ่ายข้อมูลได้เร็วกว่าเดิม 10 เท่าตัว และสะดวกในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ 
  • รองรับ 5G แล้วด้วย (ความเร็วดาวน์โหลดสูงสุดที่ 3.5 Gbps)
  • กล้องถ่ายรูป ด้านหลัง 12 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับโฟกัสพิกเซล และรูรับแสง f/1.8 มีแฟลช True Tone ช่วยให้ถ่ายภาพที่แสงน้อยได้ดี รองรับการถ่ายรูปแบบ HDR 
  • ส่วนกล้องหน้าเป็นแบบ 12 ล้านพิกเซล Ultra Wide แถมยังมาพร้อมกับฟีเจอร์ Central Stage ด้วย เหมือนกับ New iPad เลย
  • มี 2 ขนาดความจุ คือ 64GB และ 256GB ราคาเริ่มต้นที่ 17,900 บาท

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising