×

สรุปงานเปิดตัว iPhone 12 รองรับ 5G สีใหม่ Pacific Blue น้องจิ๋ว ‘Mini’ ก็มา

14.10.2020
  • LOADING...
สรุปงานเปิดตัว iPhone 12 รองรับ 5G สีใหม่ Pacific Blue น้องจิ๋ว ‘Mini’ ก็มา

HIGHLIGHTS

5 MINS. READ
  • เมื่อวานนี้ (13 ตุลาคม) ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ Apple ได้จัดงาน Apple Event เปิดตัว iPhone ใหม่พร้อมกันถึง 4 โมเดล และลำโพงอัจฉริยะ HomePod Mini
  • ความน่าสนใจของ iPhone 12 คือการที่ ทิม คุก ซีอีโอบริษัท เคลมว่า iPhone รุ่นใหม่นี้คือ ‘ย่างก้าวที่สำคัญ’ ของ Apple และงานเปิดตัว iPhone ครั้งนี้ก็ยังเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมาอีกด้วย
  • ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญใน iPhone 12 คือการมาพร้อมกับความสามารถในการรองรับ 5G มีให้เลือกถึง 4 โมเดลคือ iPhone 12, iPhone 12 Mini, iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max

หลังจากที่รอคอยกันมานานแสนนาน ในที่สุด Apple ก็ได้ฤกษ์เปิดตัว ‘iPhone 12’ ในงาน Apple Event ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมาเสียที ซึ่งก็เป็นไปตามที่สื่อหลายสำนักคาดการณ์กันเอาไว้ว่า iPhone รุ่นใหม่นี้จะมาให้เลือกพร้อมกันมากถึง 4 โมเดล และยังรองรับเทคโนโลยี 5G อีกด้วย

 

ส่วนความน่าสนใจและความแตกต่างของ iPhone 12 ในแต่ละโมเดลจะมีอะไรบ้าง THE STANDARD ได้สรุปข้อมูลจากงาน Apple Event มาไว้ให้คุณได้ Recap และเก็บไว้พิจารณาก่อนตัดสินใจว่า ‘ถึงเวลาแล้วหรือยัง’ ที่จะต้องเปลี่ยนสมาร์ทโฟนเครื่องใหม่

 

 

iPhone 12 Pro และ 12 Pro Max ‘ก้าวกระโดดที่ท้าทาย’ ของ Apple กับสเปกแบบจัดเต็ม รองรับ 5G ดีไซน์หรูหรา 

  • วัสดุตัวเครื่องบริเวณด้านหลังเป็นกระจกผิวด้าน ขอบเป็น ‘สเตนเลสสตีล’ ส่วนจอกระจกด้านหน้าใช้เทคโนโลยี ‘Ceramic Shield’ มาเคลือบเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรง ทนทาน แบบเดียวกันกับที่ใช้ใน iPhone 12
  • มาให้เลือกด้วยกันมากถึง 4 สี คือ เงิน Silver, ดำ Graphite, ทอง Gold และน้ำเงิน Pacific Blue กันน้ำกันฝุ่นระดับ IP68
  • (Pro) จอ OLDED แบบ Super Retina XDR ขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซลที่ 460 ppi จอภาพ HDR รองรับการแสดงผลแบบ True Tone
  • (Pro Max) จอ OLDED แบบ Super Retina XDR ขนาด 6.7 นิ้ว ความละเอียด 2778 x 1284 พิกเซลที่ 458 ppi จอภาพ HDR รองรับการแสดงผลแบบ True Tone
  • ใช้ชิป A14 Bionic CPU แบบ 6 Core และ GPU 4 Core ซึ่ง Apple เคลมว่าเป็น GPU ที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟนทุกเครื่อง ณ ปัจจุบัน ทำงานร่วมกับ Neural Engine เพื่อช่วยให้ประมวลผลคำสั่งการต่างๆ ได้มากกว่า 11 ล้านล้านครั้งต่อวินาที
  • (Pro) กล้องหลัง 3 เลนส์ คือ เลนส์ Wide 12MP (ƒ/1.6), Ultra Wide 12MP (ƒ/2.4) และ Telephoto 12MP (ƒ/2.0) ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 10 เท่า ส่วนกล้องหน้า TrueDepth 12MP (ƒ/2.2)
  • (Pro Max) กล้องหลัง 3 เลนส์ คือ เลนส์ Wide 12MP (ƒ/1.6), Ultra Wide 12MP (ƒ/2.4) และ Telephoto 12MP (ƒ/2.2) ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 12 เท่า ส่วนกล้องหน้า TrueDepth 12MP (ƒ/2.2) 
  • ความต่างของกล้องหลังคือ (Pro Max) มีเซนเซอร์รับแสงในเลนส์ Wide ที่ใหญ่ขึ้น 47% และพิกเซลขนาด 1.7 μm จึงสามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น 87% 
  • ถ่ายวิดีโอแบบ HDR Recording เก็บสีได้มากกว่า 700 ล้านสี มากกว่ารุ่นเดิมถึง 60 เท่า ทั้งยังเป็นกล้องมือถือที่ถ่ายวิดีโอแบบ Dolby VISION HDR ได้ที่ 60 fps อีกต่างหาก (รองรับการถ่ายความคมชัดระดับ 4K)

 

 

  • รองรับเทคโนโลยี LiDAR (ตัวสแกนอยู่บริเวณเดียวกันกับแถบกล้องหลัง) เพื่อช่วยให้การโฟกัสภาพถ่ายหรือวิดีโอทำได้ดียิ่งขึ้น (จับโฟกัสในที่แสงน้อยได้เร็วกว่าเดิม 6 เท่า) รวมถึงช่วยให้การประมวลผลเทคโนโลยี AR ยอดเยี่ยม สมจริงสุดๆ
  • รองรับ MagSafe หรือระบบที่พัฒนาประสิทธิภาพของการชาร์จแบบไร้สายให้ดียิ่งขึ้นด้วย ‘วัสดุแบบแม่เหล็ก’ โดยใน iPhone รุ่นใหม่จะมาพร้อมกับแถบแม่เหล็กที่ใช้สำหรับการชาร์จไร้สายแบบติดตั้งบริเวณด้านหลังของตัวเครื่อง (อยู่ด้านในตัวเครื่อง) ซึ่งจะใช้งานกับเคสของ Apple ได้ด้วย (จินตนาการว่าลักษณะการดูดติดของแม่เหล็กในตัวเครื่องกับที่ชาร์จไร้สายจะคล้ายกับลักษณะการชาร์จ Apple Watch)
  • ขนาดความจุตัวเครื่องมีให้เลือก 3 แบบ คือ 128GB, 256GB และ 512GB
  • (Pro) สนนราคาเริ่มต้น 999 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 31,300 บาท (ราคาจำหน่ายในไทยยังไม่เปิดเผย) / (Pro Max) สนนราคาเริ่มต้น 1,099 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 34,400 บาท (ราคาจำหน่ายในไทยยังไม่เปิดเผย)
  • เริ่มเปิดให้สั่งจองวันที่ 16 ตุลาคม และเริ่มส่งมอบเครื่องตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคมเป็นต้นไปสำหรับ (Pro) ส่วน (Pro Max) จะเริ่มจัดส่งตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ (กำหนดการวางจำหน่ายในไทยยังไม่เปิดเผย)
  • สายชาร์จ Lightning และ USB-C (ไม่แถมหัวชาร์จและหูฟัง EarPods มาให้ในกล่องแล้ว)

 

 

iPhone 12  ‘สมาร์ทโฟน 5G!’ โมเดลแรกของ Apple ที่มาให้เลือกถึง 5 สี

  • ตัวเครื่อง iPhone 12 ด้านหลังเป็นกระจก บริเวณขอบเป็นวัสดุอะลูมิเนียมแบบเดียวกันกับที่ใช้ในอุตสาหกรรมอวกาศ ส่วนบริเวณจอกระจกด้านหน้าใช้เทคโนโลยี ‘Ceramic Shield’ มาเคลือบเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรง ทนทานให้กับตัวเครื่องมากยิ่งขึ้น 
  • เมื่อเปรียบเทียบกับ iPhone 11 ตัวเครื่องมีขนาดบางกว่า 11% เล็กกว่า 15% และเบากว่า 16%)
  • มาให้เลือกพร้อมกันถึง 5 สี คือ ฟ้า, เขียว,​ ขาว, แดง (Product RED) และดำ กันน้ำ กันฝุ่นระดับ IP68
  • จอ OLED 6.1 นิ้ว แบบ Super Retina XDR ความละเอียด 2532 x 1170 พิกเซลที่ 460 ppi ช่วยให้แสดงผลได้อย่างดงาม รองรับการแสดงผลแบบ HDR10, Dolby Vision และ HLG

 

 

  • มาพร้อมกับชิปเซ็ตที่รองรับการใช้งาน 5G สวิตช์การใช้งานระหว่างโหมด LTE และ 5G แบบอัตโนมัติในเวลาที่จำเป็นเท่านั้นเพื่อช่วยประหยัดแบตเตอรี่
  • ใช้ชิป A14 Bionic CPU แบบ 6 Core และ GPU 4 Core ซึ่ง Apple เคลมว่าเป็น GPU ที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟนทุกเครื่อง ณ ปัจจุบัน ทำงานร่วมกับ Neural Engine เพื่อช่วยให้ประมวลผลคำสั่งการต่างๆ ได้มากกว่า 11 ล้านล้านครั้งได้ต่อวินาที
  • กล้องหลังเลนส์คู่ เลนส์ Wide 12MP (ƒ/1.6) และเลนส์ Ultra Wide 12MP (ƒ/2.4) ช่วยให้ถ่ายภาพกลางคืนได้ดียิ่งขึ้น ลด Noise ต่างๆ และยังใช้ Computational Photography (แมชชีนเลิร์นนิง) เพื่อช่วยให้การประมวลผลภาพที่ถ่ายออกมาสวยดั่งใจ ซูมดิจิทัลได้สูงสุด 5 เท่า
  • กล้องหน้า TrueDepth 12MP (ƒ/2.2)
  • รองรับ MagSafe
  • สายชาร์จ Lightning และ USB-C (ไม่แถมหัวชาร์จและหูฟัง EarPods มาให้ในกล่องแล้ว)
  • ขนาดความจุตัวเครื่องมีให้เลือก 3 แบบ คือ 64GB, 128GB และ 256GB
  • สนนราคาจำหน่ายเริ่มต้น 799 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ​ 25,000 บาท (ราคาจำหน่ายในไทยยังไม่เปิดเผย) / เริ่มเปิดให้สั่งจองวันที่ 16 ตุลาคม และเริ่มส่งมอบเครื่องตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคมเป็นต้นไป (กำหนดการวางจำหน่ายในไทยยังไม่เปิดเผย)

 

 

iPhone 12 Mini ‘มือถือ 5G ที่เล็ก เบาและบางที่สุดในโลก’ น้องจิ๋วคนสุดท้องของ Apple

  • มีรายละเอียดสเปกและฟีเจอร์ทั้งหมดที่คล้ายกับ iPhone 12 เลย ‘ยกเว้น’ ขนาดของตัวเครื่องและขนาดหน้าจอที่ ‘เล็กกว่า’ จึงเป็นสาเหตุที่ถูกต้ังชื่อว่า ‘iPhone 12 Mini’ นั่นเอง
  • จอ OLED 5.4 นิ้ว แบบ Super Retina XDR ความละเอียด 2340 x 1080 พิกเซลที่ 476 ppi
  • ด้วยขนาดความกว้างตัวเครื่องที่ 64.2 มม. / ความหนา 7.4 มม. / ความสูง 131.5 มม. และน้ำหนัก 133 กรัม Apple จึงเคลมว่า 12 Mini เป็นมือถือ 5G ที่เล็ก เบา และบางที่สุดในโลก
  • ขนาดความจุตัวเครื่องมีให้เลือก 3 แบบ คือ 64GB, 128GB และ 256GB
  • สนนราคาจำหน่ายเริ่มต้น 699 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 22,000 บาท (ราคาจำหน่ายในไทยยังไม่เปิดเผย) / เริ่มเปิดให้สั่งจองวันที่ 16 ตุลาคม และจัดส่งตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ (กำหนดการวางจำหน่ายในไทยยังไม่เปิดเผย)

 

 

‘HomePod Mini’ ลำโพงอัจฉริยะที่ ‘จิ๋ว’ แค่ขนาดเครื่อง 

  • ลำโพงอัจฉริยะ HomePod Mini ในรูปลักษณ์ดีไซน์แบบทรงกลม ดีไซน์โดดเด่น ซึ่งสีที่ปรากฏบริเวณแผงปรับลดเพิ่มเสียงด้านบนของตัวเครื่องก็จะหลากหลายเวลาที่ใช้งาน Siri
  • ให้เสียงที่ยอดเยี่ยม (Amazing Sound) ด้วยไดร์เวอร์ Full Range Dynamic Driver พร้อมชิป S5 ที่ช่วยให้เสียงที่แสดงผลออกมาทรงพลังไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนของบ้าน แถมเมื่อวาง HomePod Mini สองตัวใกล้กันก็จะเล่นเพลงแบบสเตอริโอเพื่อให้พลังเสียงที่อิ่มมากขึ้นได้ 
  • ด้วยชิป U1 Ultra Wideband เมื่อนำ iPhone มาใกล้ๆ ก็จะแสดงผลแบบ Haptics ได้ (เสียงดังขึ้นกว่าเดิม, เอฟเฟกต์ที่ปรากฏบนตัวเครื่อง iPhone ที่แตกต่างจากปกติ)
  • ทำงานกับผู้ช่วยอัจฉริยะ Siri (Intelligent Assistant) เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานในด้านต่างๆ สั่งการเพื่อให้เช็กข้อมูลอุณหภูมิ, นัดหมายต่างๆ หรือแม้กระทั่งให้อ่านข้อความได้ด้วย แถมยังจำแนกเสียงของผู้ใช้งานแต่ละคนในบ้านอีกต่างหาก เพื่อช่วยให้ Personalized คำสั่งที่แตกต่างกันของผู้ใช้แต่ละคน
  • ควบคุมระบบอัจฉริยะภายในบ้าน (Home Kit: Smart Home) ด้วยคำสั่งเสียงของ Siri ผ่านลำโพง HomePod Mini
  • ให้ความสำคัญกับประเด็นความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้ โดยตัวลำโพงจะไม่ทำงานจนกว่าผู้ใช้งานจะพูดว่า Hey Siri 
  • มีให้เลือกด้วยกันสองสีคือ ขาว และเทา Space Gray 
  • สนนราคาจำหน่ายเริ่มต้น 99 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,100 บาท เริ่มเปิดให้สั่งวันที่ 6 พฤศจิกายน และวางจำหน่ายวันที่ 16 พฤศจิกายนเป็นต้นไป (ไม่มีรายละเอียดเรื่องการวางจำหน่ายในประเทศไทย)

 

 

พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising