สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีแรก 2023 เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวาย ทั้งวิกฤต Bank Run ในสหรัฐอเมริกา การเปิดประเทศของจีนที่น่าผิดหวัง กระแสความนิยมของ AI และแนวโน้มการยุติอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในหลายแห่งทั่วโลก ขณะที่ในไทยก็เจอประเด็นที่วุ่นวายไม่แพ้กัน ทั้งผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การเลือกตั้ง และการเทขายหุ้นไทยต่อเนื่อง
ผลตอบแทนจากสินทรัพย์ลงทุนจึงแตกต่างกันท่ามกลางความสับสนในตลาด โดยจะนำผลตอบแทนเหล่านี้มาเปรียบเทียบกับเงินเฟ้อของไทย เพื่อให้เห็นถึงมูลค่าจากการลงทุนในระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา
ขณะที่ บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) มีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในครึ่งปีหลังว่า ความเสี่ยงที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนจะถูกปรับลงจากจุดนี้ไปอาจจะมีไม่มากนักหากเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก ขณะเดียวกัน ดัชนี SET ที่ปรับฐานลงมาราว 10% แล้วนับตั้งแต่ต้นปี สะท้อนว่าตลาดรับรู้ความกังวลในปัจจัยเหล่านี้ไปมากพอสมควรแล้ว
หากกลับมาพิจารณาพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยเอง ยังคงมีแนวโน้มเติบโตดี โดยเรายังคงประมาณการเติบโต GDP ปีนี้ที่ระดับ 3.5% โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวที่ยังมีแนวโน้มที่ดีต่อเนื่อง แม้จะอยู่ในช่วงโลว์ซีซัน แต่นักท่องเที่ยวรายเดือนยังสามารถอยู่ในระดับมากกว่า 2 ล้านคน และคาดว่าจะทยอยสูงขึ้นตามลำดับเมื่อเข้าสู่ช่วงไฮซีซัน และเมื่อการจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จและมีนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยทั่วถึงมากขึ้น
จากปัจจัยสนับสนุนดังกล่าว เราคาดว่าตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 เป็นต้นไป น่าจะเห็นตลาดหุ้นไทยมีทิศทางที่ดีขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาทน่าจะมีทิศทางที่แข็งค่าขึ้น จึงน่าจะสามารถดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศกลับมาได้
สำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้ เรามองว่าตลาดหุ้นไทยยังเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนยังสามารถเข้าทยอยลงทุนได้ โดยเน้นกลยุทธ์การลงทุนแบบ Bottom Up เฟ้นหาหุ้นที่มีคุณภาพ มีกำไรเติบโตที่ชัดเจนด้วยบริษัทและอุตสาหกรรมของตัวเองได้อย่างน้อยอีก 1-3 ปีข้างหน้า เช่น กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่มที่ได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว เน้นลูกค้าระดับกลางถึงบน กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาพลังงานที่ลดลง รวมถึงกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจำกัดจากนโยบายของภาครัฐที่ยังมีความไม่แน่นอน
ภาพประกอบ: ฉัตรชัย เฉยชิต
