×

สรุป 4 ประเด็นการไต่สวนเหตุจลาจลบุกสภาสหรัฐฯ ครั้งที่ 2 ชี้ปม ‘ทรัมป์’ โกหกเรื่องโกงเลือกตั้ง จุดชนวนจลาจล ทั้งที่ ‘ไม่มีมูล’

โดย THE STANDARD TEAM
15.06.2022
  • LOADING...
เหตุจลาจลบุกสภาสหรัฐฯ

คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เปิดการไต่สวนรอบ 2 เมื่อวันจันทร์ (13 มิถุนายน) ที่ผ่านมา กรณีกลุ่มผู้ประท้วงสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก่อจลาจลบุกอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 เพื่อต่อต้านผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

 

โดยการไต่สวนรอบนี้พุ่งเป้าที่ประเด็นสำคัญ คือการที่ทรัมป์ได้รับคำเตือนจากคนรอบตัว ทั้งเพื่อน ที่ปรึกษา รวมถึงรัฐมนตรียุติธรรมในรัฐบาลของเขา ว่า ‘การโกหกครั้งใหญ่’ เกี่ยวกับการโกงเลือกตั้งที่เขาอ้างนั้น ‘ไม่มีมูลความจริง’ แต่ทรัมป์ยังคงไม่หยุดและเดินหน้ากล่าวอ้างเรื่องการโกงเลือกตั้งต่อไป จนกระทั่งสามารถจุดชนวนความไม่พอใจแก่กลุ่มผู้สนับสนุน และนำไปสู่การก่อเหตุจลาจลบุกรัฐสภา ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 5 คน บาดเจ็บอีกนับร้อยคน

 

และนี่คือสรุป 4 ประเด็นสำคัญ ที่ได้จากการไต่สวนรอบนี้

 

พยานชี้ ‘ทรัมป์’ แยกตัวออกจาก ‘ความเป็นจริง’ หลังการเลือกตั้ง

วิดีโอคำให้การจากหนึ่งในพยานของการไต่สวนซึ่งเป็นที่กล่าวถึงมากที่สุด คือ ‘วิลเลียม เพลแฮม บาร์ร’ (William Pelham Barr) อดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมในรัฐบาลทรัมป์ โดยบาร์รอธิบายว่า ทรัมป์นั้น ‘แยกตัวจากความเป็นจริง’ มากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลายวันหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี ขณะที่บาร์รเผยว่าเขาได้บอกประธานาธิบดีทรัมป์ในตอนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าข้อกล่าวอ้างเรื่องการโกงเลือกตั้งนั้นไม่มีมูลความจริง แต่ทรัมป์ไม่เคยสนใจว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

 

โดยคณะกรรมาธิการสอบสวนของสภาคองเกรส พยายามชี้ให้เห็นว่าทรัมป์นั้นรับรู้ว่าข้อกล่าวอ้างเรื่องการโกงเลือกตั้งของเขานั้นไม่จริง และเขายังคงกล่าวอ้างมันต่อไป ซึ่งบาร์รให้การว่าในช่วงหลายสัปดาห์หลังการเลือกตั้ง เขากล่าวย้ำกับทรัมป์ว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้ ‘บ้าแค่ไหน’

 

อย่างไรก็ดี คำให้การของบาร์รยังชี้ให้เห็นความเป็นไปได้อีกอย่าง คือจริงๆ แล้วทรัมป์อาจจะเชื่อในถ้อยคำโกหกที่มีคนบอกเขา แต่บาร์รมองว่าหากทรัมป์เชื่อเรื่องราวโกหกเหล่านี้จริงๆ เขาก็คงจะแยกตัวเองออกจากความเป็นจริง

 

“ผมคิดว่า เด็กน้อยเอ๋ย หากเขาเชื่อเรื่องนี้จริงๆ เขาก็คงขาดการติดต่อ และกลายเป็นว่าถูกแยกออกจากความเป็นจริง ถ้าเขาเชื่อเรื่องนี้จริงๆ นะ” บาร์รกล่าวต่อคณะกรรมาธิการ

 

2 กลุ่มห้อมล้อมทรัมป์: ‘ทีมปกติ’ กับ ‘ทีมรูดี’

สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนในการไต่สวนเมื่อวันจันทร์ คือมีกลุ่มบุคคล 2 กลุ่มที่อยู่รายล้อมทรัมป์ในช่วงหลายวันและหลายสัปดาห์หลังจากการเลือกตั้ง

 

‘บิล สเตเปียน’ (Bill Stepien) ผู้จัดการในแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ มองว่าทีมของเขาเป็น ‘ทีมปกติ’ (Normal Team) ตรงข้ามกับทีมที่นำโดย ‘รูดี จิวเลียนี’ (Rudy Giuliani) ทนายส่วนตัวของทรัมป์

 

โดยสเตเปียนซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของพรรครีพับลิกันผู้มีประสบการณ์ อยู่ในกลุ่มผู้ช่วยหาเสียง ทนายความ ที่ปรึกษาทำเนียบขาว และอีกหลายคนที่เรียกร้องให้ทรัมป์ละทิ้งการกล่าวอ้างเรื่องโกงเลือกตั้งที่ไม่มีมูลความจริง 

 

แต่ทีมของจิวเลียนีกลับเพิ่มความหวาดระแวงและเคลือบแคลงสงสัยให้แก่ทรัมป์ และผลักดันให้เขาสนับสนุนข้อกล่าวอ้างที่ไม่มีมูลและเกินความจริง เช่นการปลอมแปลงเครื่องลงคะแนน หรือการ ‘เก็บเกี่ยวบัตรลงคะแนน’ (Ballot Harvesting) ซึ่งเป็นการทุจริตด้วยการเก็บบัตรลงคะแนนจากบ้านของผู้ที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิที่หน่วยเลือกตั้ง เช่นผู้ที่ใช้สิทธิผ่านทางไปรษณีย์ และนำไปหย่อนในหน่วยเลือกตั้งเพื่อเพิ่มคะแนนเสียงของตนเอง

 

“เราเรียกพวกเขาว่าทีมของผมและทีมของรูดี ผมไม่รังเกียจที่จะถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของทีมปกติ” สเตเปียนกล่าวต่อคณะกรรมาธิการสอบสวน

 

ขณะที่คณะกรรมาธิการคาดหวังว่า ข้อมูลและคำอธิบายของทั้ง 2 กลุ่มที่อยู่ในแวดวงใกล้ชิดกับทรัมป์นั้นจะเป็นหลักฐานว่าทรัมป์ได้เลือกที่จะฟังกลุ่มที่นำโดยจิวเลียนี แทนที่จะฟังทีมหาเสียงและคนใกล้ชิดที่ทำงานในรัฐบาลของเขา

 

ภาพในคืนเลือกตั้งที่ทำเนียบขาว

การไต่สวนในวันจันทร์ เปิดฉากด้วยภาพอันสดใสของคืนเลือกตั้งที่ทำเนียบขาว โดยมีการบรรยายให้เห็นถึงปฏิกิริยาของประธานาธิบดีทรัมป์และคนรอบข้าง เมื่อ Fox News ประกาศชัยชนะในรัฐแอริโซนาให้กับ โจ ไบเดน คู่แข่งคนสำคัญ

 

ขณะที่คณะกรรมาธิการได้ใช้วิดีโอคำให้การของที่ปรึกษาที่ใกล้ชิดที่สุดของประธานาธิบดีทรัมป์และสมาชิกครอบครัวทรัมป์บางคน เพื่อแสดงให้เห็นว่าทรัมป์ได้ปฏิเสธคำเตือนที่เขาได้รับอย่างไร

 

สเตเปียนกล่าวในวิดีโอคำให้การว่า เขาได้เรียกร้องให้ประธานาธิบดีไม่ประกาศชัยชนะก่อนเวลาอันควร โดยได้อธิบายไว้แล้วว่า คะแนนเสียงจากพรรคเดโมแครตส่วนใหญ่มักจะถูกนับในตอนกลางคืน แต่ทรัมป์ไม่สนใจ และกลับฟังคำแนะนำจากจิวเลียนี ซึ่งผู้ช่วยหลายคนบอกว่าเขาเมาในคืนนั้น และเป็นจิวเลียนีที่เรียกร้องให้ประธานาธิบดีประกาศอ้างชัยชนะและบอกว่าการเลือกตั้งนั้นถูกขโมยไป

 

คริส สตีร์วอลต์ บรรณาธิการข่าวการเมืองของ Fox News ซึ่งถูกไล่ออกหลังทีมงานของเขาประกาศชัยชนะแก่ไบเดนในรัฐแอริโซนาระหว่างที่ออกอากาศ ทั้งที่ผลเลือกตั้งยังไม่สิ้นสุด ได้ให้การต่อคณะกรรมาธิการว่า “ผลเลือกตั้งที่เปลี่ยนแปลงในคืนนั้น ไม่ทำให้ข้อกล่าวอ้างของทรัมป์เรื่องการชักจูงผู้มีสิทธิลงคะแนนมีน้ำหนักมากไปกว่าผลคะแนนของพรรคเดโมแครตที่ถูกนับหลังจากรีพับลิกัน” 

 

ซึ่งเขาแสดงความภาคภูมิใจที่ทีมของเขาเป็นสื่อสำนักแรกที่ประกาศผลในแอริโซนาอย่างถูกต้อง และกล่าวว่ามีโอกาสเป็น ‘ศูนย์’ ที่ทรัมป์จะชนะในรัฐนี้

 

เงินนับล้านดอลลาร์ถูกส่งไปยัง ‘กองทุนป้องกันการเลือกตั้ง’ ที่ไม่มีอยู่จริง

ในการให้การรอบนี้ คณะกรรมาธิการสอบสวนของสภาคองเกรสชี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่การ ‘โกหกครั้งใหญ่’ แต่ยังเป็นการ ‘ฉ้อโกงครั้งใหญ่’ ด้วย

 

โดยในวิดีโอสรุปการสอบสวนรอบที่ 2 ทางคณะกรรมาธิการได้บรรยายให้เห็นว่า ทรัมป์และผู้ช่วยหาเสียงของเขาได้ใช้ข้อกล่าวอ้างที่ไร้เหตุผลเรื่องการฉ้อโกงการเลือกตั้ง เพื่อโน้มน้าวให้ผู้สนับสนุนทรัมป์บริจาคเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐไปยังสิ่งที่เรียกว่า ‘กองทุนป้องกันการเลือกตั้ง’ ได้อย่างไร 

 

ตามที่คณะกรรมาธิการระบุ พบว่าผู้สนับสนุนทรัมป์บริจาคเงินถึง 100 ล้านดอลลาร์ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการเลือกตั้ง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าผู้บริจาคมีความคาดหวังว่าเงินของพวกเขาจะช่วยให้ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถต่อสู้เพื่อพลิกผลเลือกตั้งได้

 

แต่หนึ่งในคณะกรรมาธิการสอบสวนกล่าวว่า ไม่มีหลักฐานว่ากองทุนดังกล่าวเคยมีอยู่ และนอกจากนั้นเงินหลายล้านดอลลาร์ยังไหลเข้าสู่ Super PAC หรือกลุ่มทำงานด้านการเมืองที่ประธานาธิบดีตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2020 เพียงไม่กี่วันหลังการเลือกตั้ง 

 

ซึ่งคณะกรรมาธิการระบุว่า กลุ่มทำงานด้านการเมืองดังกล่าว ได้ส่งเงิน 1 ล้านดอลลาร์ให้กับมูลนิธิการกุศลที่ดำเนินการโดย มาร์ก มีโดวส์ (Mark Meadows) อดีตเสนาธิการทำเนียบขาวในรัฐบาลทรัมป์ และอีก 1 ล้านดอลลาร์มอบให้กับกลุ่มการเมืองที่ดำเนินการโดยอดีตเจ้าหน้าที่ของเขาหลายคน รวมถึง สตีเฟน มิลเลอร์ (Stephen Miller) ที่ปรึกษาอาวุโสและสถาปนิกคนสำคัญของนโยบายโยกย้ายถิ่นฐานและนโยบายแบนพลเรือนจากชาติมุสลิมเข้าประเทศของรัฐบาลทรัมป์

 

ด้าน โซอี ลอฟเกรน (Zoe Lofgren) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐแคลิฟอร์เนียของพรรคเดโมแครต สรุปการค้นพบข้อมูลในเรื่องนี้ว่า “ตลอดการสอบสวนของคณะกรรมาธิการ เราพบหลักฐานว่าการหาเสียงของทรัมป์และตัวแทนสร้างความเข้าใจผิดแก่ผู้บริจาค ว่าเงินของพวกเขาจะไปที่ไหนและจะใช้เพื่อทำอะไร” ลอฟเกรนกล่าว พร้อมทั้งชี้ว่า “นี่ไม่ใช่แค่การโกหกครั้งใหญ่เท่านั้น แต่ยังเป็นการหลอกลวงครั้งใหญ่อีกด้วย ผู้บริจาคสมควรที่จะรู้ว่าเงินของพวกเขาจะไปอยู่ที่ไหน พวกเขาสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์และทีมของเขาทำ”

 

การไต่สวนยังไม่สิ้นสุด

สำหรับการไต่สวนกรณีเหตุจลาจลบุกสภาสหรัฐฯ ถือเป็นการไต่สวนต่อสาธารณะ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 จากทั้งหมด 7 ครั้ง โดยครั้งถัดไปจะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้ (16 มิถุนายน) ตามเวลาท้องถิ่น ก่อนที่จะมีการสรุปรายงานการไต่สวน ซึ่งคาดว่าจะเผยแพร่ออกมาในเดือนกันยายน

 

อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าการไต่สวนทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การดำเนินคดีทางอาญาหรือตั้งข้อหาทรัมป์และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้หรือไม่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าการดำเนินคดีอาญาต่อทรัมป์จากกรณีเหตุจลาจลนี้อาจจะยากมากที่จะพิสูจน์ว่าทรัมป์กระทำด้วยเจตนาทางอาญา

 

แต่ยังมีความเป็นไปได้ว่าอดีตผู้นำสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับข้อกล่าวหาเรื่องการสมรู้ร่วมคิดเพื่อฉ้อโกงสหรัฐฯ หรือขัดขวางการดำเนินการของทางการเพื่อพยายามล้มการเลือกตั้งและขัดขวางการนับคะแนนเลือกตั้งของสภาคองเกรส

 

ซึ่งนอกจากนี้ ทรัมป์และคนใกล้ชิดยังอาจถูกตั้งข้อหาฉ้อโกงในกรณีที่ผู้สนับสนุนบริจาคเงินไปยังกองทุนป้องกันการเลือกตั้งที่ไม่มีอยู่จริงด้วย

 

ทรัมป์แถลงโต้  ‘ศาลเถื่อน’

ขณะที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกแถลงการณ์ 12 หน้า โจมตีการไต่สวนดังกล่าว ว่าเป็นความพยายามเพื่อยับยั้งเขาจากการลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง พร้อมทั้งเรียกการไต่สวนของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรว่าเป็น ‘ศาลเถื่อน (Kangaroo Court)’ ซึ่งไม่มีความเสมอภาคระหว่างผู้แทนของเดโมแครตและรีพับลิกัน เนื่องจากสมาชิกคณะกรรมาธิการทั้งหมดประกอบด้วยพรรคเดโมแครต 7 คน และรีพับลิกันเพียง 2 คน 

 

โดยทรัมป์ยังชี้ว่า การไต่สวนนี้เป็นเพียงการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนอเมริกันจากความเจ็บปวดแสนสาหัสที่พวกเขากำลังเผชิญ พร้อมโจมตีความล้มเหลวของรัฐบาลไบเดนที่ไม่สามารถหาทางออกให้แก่ประเทศได้ หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 มาแล้วกว่า 17 เดือน

 

ภาพ: Photo by Tom Williams / CQ-Roll Call, Inc via Getty Images

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising