ประเด็นสำคัญ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายประเทศในประชาคมโลกต่างทยอยประกาศรับรอง ‘ความเป็นรัฐ’ ให้แก่ปาเลสไตน์ อย่างเป็นทางการ ซึ่งสอดคล้องกับ ‘แนวทางสองรัฐ’ (Two-State Solution) ในการผลักดันให้เกิดการจัดตั้ง ‘รัฐปาเลสไตน์’ เคียงข้างกับรัฐอิสราเอล เพื่อแก้ปมปัญหาความขัดแย้งที่มีมาอย่างยาวนาน
ในปีนี้ 2 ใน 5 ประเทศสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) อย่างสหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส รวมถึงประเทศอื่นๆ อีกนับสิบประเทศ ได้ประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์อย่างเป็นทางการ ในห้วงการประชุมระดับสูงของการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ซึ่งเป็นเวทีที่ผู้นำโลกและเจ้าหน้าที่ระดับสูงจะมาพบปะกัน เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นปัญหาที่เร่งด่วนในประชาคมโลก โดยหนึ่งในนั้นก็คือ การรับรองรัฐปาเลสไตน์ ตามแนวทางสองรัฐ
โดยมีบางประเทศ เช่น อันดอร์รา และเบลเยียม ที่เพิ่มเงื่อนไขในการรับรองขึ้นมา ซึ่งทั้งอันดอร์รา และเบลเยียม จะรับรองสถานะ ‘ความเป็นรัฐ’ ของปาเลสไตน์ในทางกฎหมาย ก็ต่อเมื่อตัวประกันทั้งหมดได้รับการปล่อยตัว และองค์กรก่อการร้ายอย่างกลุ่มฮามาสถูกกำจัดไปจากปาเลสไตน์แล้วเท่านั้น
ทำให้ขณะนี้มีอย่างน้อย 156 จากทั้งหมด 193 ประเทศ หรือคิดเป็นกว่า 80% ของประเทศสมาชิกสหประชาชาติได้ประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์แล้ว
ประชาคมโลกทยอยรับรองรัฐปาเลสไตน์ สะท้อนอะไร
ผศ. ดร.มาโนชญ์ อารีย์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มองว่า การรับรองรัฐปาเลสไตน์โดยประเทศต่างๆ ในประชาคมโลก เกิดขึ้นในวงกว้างมาสักระยะหนึ่งแล้ว โดยการรับรองรัฐปาเลสไตน์ ‘เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ’ โดยเฉพาะจากชาติตะวันตก ซึ่งมีนัยที่สำคัญอย่างมากต่อทิศทางของประเด็นปัญหาปาเลสไตน์ในเวทีโลก เพราะประเทศเหล่านี้หลายประเทศเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล และที่ผ่านมาก็ให้การสนับสนุนอิสราเอลอย่างมาก
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึง ‘ภูมิรัฐศาสตร์ในเวทีระหว่างประเทศใหม่’ ซึ่งด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นว่า วันนี้อิสราเอล ‘โดดเดี่ยวมากยิ่งขึ้นและโดดเดี่ยวถึงที่สุด’เพราะที่ผ่านมาแม้ชาติตะวันตกจะเรียกร้องให้หยุดยิง แต่ไม่ได้มีมาตรการที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมในการกดดันให้อิสราเอลหยุดยิงอย่างจริงจัง และยังคงเห็นการค้าขายอาวุธ และยังมีการจัดส่งอาวุธอย่างต่อเนื่อง แต่วันนี้ทั้งมาตรการทางการเมืองควบคู่กับมาตรการทางเศรษฐกิจถูกหยิบยกขึ้นมาใช้มากยิ่งขึ้น บางประเทศสั่งยุติการส่งชิ้นส่วนอาวุธให้กับอิสราเอล
ขณะที่ ผศ. ดร.ธนภัทร ชาตินักรบ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า การที่รัฐต่างๆ ในตะวันตกรับรองรัฐปาเลสไตน์ สะท้อนว่า ปาเลสไตน์มีคุณสมบัติของ ‘การเป็นรัฐ’ สิ่งนี้ควรจะได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ อีกทั้งการรับรองนี้อาจเป็น ความพยายามในการกดดันอิสราเอลให้กลับไปสู่ ‘แนวทางสองรัฐ’ และยอมรับว่า ปาเลสไตน์มีสถานะ ‘เป็นรัฐ’ ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
ส่วนคำถามที่ว่า ‘ทำไมถึงต้องประกาศรับรองในช่วงเวลานี้’ นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่ง รวมถึงโมฮาเหม็ด เอลมัสรี อาจารย์จาก Doha Institute for Graduate Studies ที่ให้สัมภาษณ์กับ Al Jazeera มองว่า นอกจากจะเป็นหนึ่งช่องทางที่อาจช่วยกดดันอิสราเอลให้ยุติสงครามในฉนวนกาซาแล้ว การรับรองเหล่านี้เป็นเพียง ‘การแสดง’ (Performative) และเป็นขั้นตอนเชิงสัญลักษณ์ที่เล็กน้อยเท่านั้น และไม่เชื่อว่าจะสามารถปรับปรุงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวปาเลสไตน์ที่กำลังเผชิญกับการรุกรานของอิสราเอลได้
การตัดสินใจนี้เกิดขึ้น เนื่องจากผู้นำชาติตะวันตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากประชาคมระหว่างประเทศและประชาชนในประเทศของตนเอง เพื่อให้ ‘ทำบางสิ่งบางอย่าง’ เพื่อยุติสงครามในกาซา โดยพวกเขาเชื่อว่า ผู้นำเหล่านี้ กำลัง ‘รักษาหน้า’ (Saving Face) ของตัวเอง โดยเลือกใช้แนวทางการตอบสนองที่ ‘ต้นทุนต่ำ’ อย่างเช่น การประกาศรับรองความเป็นรัฐ เพื่อสร้างความพึงพอใจและลดแรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกประเทศ
อาจารย์มาโนชญ์ มองว่า การที่ชาติตะวันตกออกมารับรองรัฐปาเลสไตน์วันนี้ อาจจะยังไม่ได้สะท้อนความต้องการที่จะเห็นการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์ขึ้นมาอย่างจริงจัง แต่เป็นผลมาจากแรงกดดันที่ต้องการจะให้ สถานการณ์ความรุนแรงที่ UN และหน่วยงานระหว่างประเทศระบุว่า ‘เป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพโลก’ และ เป็น ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์’ ยุติลงโดยเร็ว แม้การรับรองนี้จะเป็นการแสดงออกที่ ‘เบาที่สุด’ ในการสนับสนุนชาวปาเลสไตน์ แต่ก็มีส่วนช่วยเปิดความสัมพันธ์ทางการทูตกับปาเลสไตน์ อนุญาตให้ตัวแทนของปาเลสไตน์ในประเทศนั้นๆ เคลื่อนไหวอย่างถูกต้องและชอบธรรมยิ่งขึ้น
รัฐปาเลสไตน์ จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่
อาจารย์มาโนชญ์ ระบุว่า การจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์มีการพูดคุยกันมาอย่างยาวนานและประชาคมโลก ‘เห็นพ้อง’ ว่า การแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือ การมีรัฐปาเลสไตน์คู่กับรัฐอิสราเอล ตาม ‘แนวทางสองรัฐ’ (Two-State Solution) ซึ่งอิสราเอลแสดงจุดยืนคัดค้าน และยืนยันว่า ‘จะไม่มีรัฐปาเลสไตน์เกิดขึ้นอย่างแน่นอน’
อย่างไรก็ตาม อาจารย์เชื่อว่า การตั้งรัฐปาเลสไตน์วันนี้มี ‘ความชอบธรรม’และขยับเข้าใกล้ความจริงมากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะดู ‘เป็นไปได้ยาก’ ก็ตาม โดยกระบวนการตั้งรัฐปาเลสไตน์ ‘ต้องผ่านอุปสรรคหลายด่าน’
ด่านแรก: ปาเลสไตน์ต้องยอมรับกฎบัตรสหประชาชาติ และแสดงความพร้อมที่จะเข้าเป็นสมาชิก UN
ด่านที่ 2: ปาเลสไตน์ต้องได้รับความเห็นชอบจากประเทศส่วนใหญ่ในสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA)
ด่านที่ 3 (ยากที่สุด): ปาเลสไตน์ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ซึ่งคาดว่า สหรัฐฯ มีแนวโน้มจะใช้สิทธิ์คัดค้าน
แม้ในอนาคตสหรัฐอเมริกาจะ ‘งดออกเสียง’ เพื่อให้มติผ่านได้ แต่บรรดานักวิเคราะห์เชื่อว่า ‘ในทางปฏิบัติอิสราเอลจะไม่ยอมให้เกิดรัฐปาเลสไตน์ขึ้นมา’ และสหรัฐอเมริกาก็ยังคงจะสนับสนุนอิสราเอลต่อไป
ขณะที่อาจารย์ธนภัทร ระบุว่า แม้การจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์จะเผชิญความท้าทายอยู่มาก แต่การที่รัฐต่างๆ ประกาศรับรองมากขึ้น จะช่วยสร้าง ‘ความชอบธรรม’ ให้กับปาเลสไตน์มากยิ่งขึ้นตามไปด้วย โดยจะก่อให้เกิดแรงผลักดัน ทั้งทางการเมืองและทางกฎหมาย จนนำไปสู่ ‘การตั้งรัฐในเชิงปฏิบัติ’ มากขึ้น พร้อมเปิดโอกาสให้ปาเลสไตน์ดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกับประเทศอื่นๆ อย่างเป็นทางการมากขึ้น และเข้าร่วมกับองค์การระหว่างประเทศต่างๆ เช่น UNESCO, WHO ได้ง่ายขึ้น ขณะที่ปาเลสไตน์เองก็ต้องดำเนินการ เพื่อลดบทบาทของอิสราเอลที่ควบคุมดินแดนส่วนใหญ่อยู่ในขณะนี้ด้วยเช่นกัน
‘อุปสรรคสำคัญ’ ของการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์
ทั้งอาจารย์มาโนชญ์ และอาจารย์ธนภัทร ต่าง ‘เห็นสอดคล้องกัน’ ว่า อุปสรรคที่สำคัญที่สุดคือ การคัดค้านของอิสราเอล และ การใช้สิทธิ Veto ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะทำให้การเข้าเป็นสมาชิก UN แบบเต็มรูปแบบของปาเลสไตน์ ‘ยังเกิดขึ้นได้ยาก’
ทั้งคู่ยังได้ระบุถึงช่องทางอื่นๆ ที่พอจะเป็นไปได้ หากสหรัฐฯ ยก Veto ซ้ำๆ จน UNSC เป็นอัมพาต และเดินมาถึง ‘ทางตัน’ โดยการดำเนินการระยะต่อไปคือ การใช้กลไกของสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ตามมติ Uniting for Peace ที่เคยประกาศใช้เมื่อปี 1950 ในช่วงสงครามเกาหลี เพื่อเปิดทางให้ UNGA เรียกประชุมฉุกเฉิน เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามหรือการละเมิดสันติภาพ และเสนอแนะแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยอาจเรียกร้องให้มีการหยุดยิง รวมถึงการใช้มาตรการคว่ำบาตรต่ออิสราเอล และอาจจัดตั้งกองกำลังสันติภาพเข้าแทรกแซงโดยตรง
Uniting for Peace จึงเป็นกลไกสำคัญที่เสริมอำนาจของ UNGA ในกรณีที่ UNSC ล้มเหลวในการดำเนินการ หรือไม่สามารถตอบสนองต่อความรุนแรงหรือภัยคุกคามได้ โดยอาจารย์มาโนชญ์ ระบุว่า แม้ว่า ข้อมติของสมัชชาใหญ่จะ ‘ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย’ แต่อาจจะนำไปสู่ ‘ฉันทามติสากล’ ซึ่งจะช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับบรรดาประเทศต่างๆ ที่จะยกระดับมาตรการกดดันต่ออิสราเอล
นอกจากนี้ อาจารย์ธนภัทรยังมองว่า UNGA ยังสามารถมอบสถานะพิเศษแก่ปาเลสไตน์ได้ ดังเช่นในอดีตที่เคยให้สถานะ ‘รัฐผู้สังเกตการณ์’ แก่ปาเลสไตน์เมื่อปี 2012 ทำให้ปาเลสไตน์สามารถเข้าร่วมการประชุมและแสดงความเห็นในที่ประชุม UN ได้ แม้จะยังไม่มีสิทธิลงคะแนนเสียงหรือเป็นสมาชิกเต็มตัวของ UN ก็ตาม โดยในอนาคตปาเลสไตน์ก็อาจได้รับสิทธิ์เข้าร่วมองค์การระหว่างประเทศที่มีความเฉพาะทางมากยิ่งขึ้น
อีกทั้ง การนำคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ก็จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญที่จะช่วยเพิ่มแรงกดดันจากนานาชาติให้อิสราเอลและชาติอื่นๆ ปฏิบัติในแนวทางที่สอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงยืนยันสิทธิของปาเลสไตน์ในการมีสถานะทางการเมืองและทางกฎหมายในเวทีโลก
สหรัฐฯ กับท่าทีที่ ‘อาจเปลี่ยนไป’
ที่ผ่านมาสหรัฐฯ สนับสนุนอิสราเอลอย่างชัดเจน และใช้สิทธิ Veto เพื่ออิสราเอลอยู่บ่อยครั้ง แต่อาจารย์มาโนชญ์วิเคราะห์ว่า ในอนาคตท่าทีหรือจุดยืนตรงนี้ของสหรัฐฯ ‘อาจเปลี่ยนแปลงได้’ เนื่องจาก สหรัฐฯ เคยงดออกเสียง หรือตัดสินใจไม่ยก Veto เพื่อให้ UNSC สามารถผ่านมติที่เกี่ยวข้องกับดินแดนปาเลสไตน์มาแล้ว
โดยเฉพาะการผ่านมติเรียกร้องให้มีการหยุดยิงในฉนวนกาซาและปล่อยตัวประกันทั้งหมด เมื่อเดือนมีนาคม 2024 แม้มตินั้นจะไม่มีผูกพัน และไม่ส่งผลกระทบทันทีต่อการสู้รบในฉนวนกาซาก็ตาม ซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่ UNSC สามารถโหวตผ่านมติในลักษณะดังกล่าวได้ นับตั้งแต่เกิดสงครามอิสราเอล-ฮามาส (2023) หลังสหรัฐฯ ปรับท่าที ไม่ใช้สิทธิ Veto
ปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อท่าทีของสหรัฐฯ คือ การเติบโตขึ้นของฝ่ายขวาในสหรัฐฯ โดยอาจารย์มาโนชญ์ระบุว่า ฝ่ายขวาแท้ในสหรัฐฯ อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ หรือชาร์ลี เคิร์ก หนึ่งในนักเคลื่อนไหวฝ่ายขวาจัดผู้ล่วงลับ จะมีแนวคิดต่อต้าน ‘คนนอก’ และ ‘อิทธิพลของคนนอก’ ซึ่งรวมถึงชาวยิวในสหรัฐฯ โดย หนึ่งในประเด็นที่พวกเขาไม่พอใจคือ อิทธิพลของล็อบบี้ยิสต์ (Lobbyist) ชาวยิวของอิสราเอลที่มีสูงมากในสภาคองเกรส
ทรัมป์ชี้ว่า ล็อบบี้ยิสต์ชาวยิวของอิสราเอลมีอิทธิพลลดลงไปอย่างมาก เพราะสิ่งที่อิสราเอลทำในฉนวนกาซา ได้สร้างความไม่พอใจให้กับคนอเมริกัน และกระทบต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง โดยทรัมป์เชื่อว่า มี ‘Deep State’ อยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งมีลักษณะเป็นเครือข่ายอิทธิพลซ้อนทับอยู่ และอาจเกี่ยวพันกับกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ของอิสราเอล โดยเฉพาะกลุ่ม American Israel Public Affairs Committee (AIPAC)
ขณะที่เคิร์กก็สนับสนุนอิสราเอลเต็มที่ แต่การสนับสนุนนั้นต้องอยู่บนผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เป็นสำคัญ ทำให้ฝ่ายขวาเหล่านี้มองว่า อิสราเอลมีอิทธิพลมากเกินไปในสหรัฐฯ และสหรัฐฯ ไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของอิสราเอลในตะวันออกกลางได้
อาจารย์มาโนชญ์จึงเชื่อว่า สหรัฐอเมริกาจึงมีความจำเป็นต้องลดอิทธิพลของอิสราเอลภายในสหรัฐฯ ลงให้ได้และวิธีการหนึ่งอาจเป็นการแสดงออกทางการเมือง ด้วยการโหวตหรือไม่โหวตในเวทีสหประชาชาติ
อาจารย์ยังระบุว่า สหรัฐฯ ต้องคิดถึงโจทย์ใหญ่ว่า จะทำอย่างไรให้การสนับสนุนอิสราเอลอยู่บนฐานของผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ทำให้อิสราเอลต้องฟังสหรัฐฯ และ ไม่ตัดสินใจโดยลำพัง เพราะ การที่อิสราเอลไปโจมตีกาตาร์ โดยอ้างว่าต้องการสังหารผู้นำของกลุ่มฮามาสนั้น ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์และอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาในตะวันออกกลางโดยตรง สหรัฐฯ จึงต้องหามาตรการในการควบคุมอิสราเอล ท่ามกลางบริบทที่ชาติตะวันตกรับรองรัฐปาเลสไตน์ และมีแนวโน้มจะกดดันอิสราเอลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนั่นอาจทำให้สหรัฐฯ มีอำนาจต่อรองกับอิสราเอลสูงขึ้นตามไปด้วย หากสหรัฐฯ ยังคงยืนยันที่จะสนับสนุนอิสราเอล
ความท้าทายจาก ‘เงื่อนไขของปาเลสไตน์’
นอกจากอุปสรรคจากปัจจัยภายนอกแล้ว เงื่อนไขของปาเลสไตน์เองก็มีความท้าทายอย่างมาก โดยเงื่อนไขของความเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ ตาม ‘อนุสัญญามอนเตวิเดโอ ปี 1933’ ที่กำหนดให้ รัฐต้องมีองค์ประกอบ 4 ประการจึงจะถือว่า เป็นรัฐได้ คือ 1. มีประชากรถาวร (Permanent Population)
- มีดินแดนที่แน่นอน (Defined Territory)
- มีรัฐบาล (Government)
และ 4. มีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับรัฐอื่น (Capacity to enter into relations with other states)
โดยทั้งอาจารย์มาโนชญ์ และอาจารย์ธนภัทร เห็นพ้องกันว่า ในเงื่อนไขเรื่องความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับรัฐอื่นนั้น ปาเลสไตน์ได้รับการยอมรับจากประชาคมโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งวันนี้อยู่เหนือการควบคุมของอิสราเอลแล้ว
ส่วนเงื่อนไขเรื่องประชากร แม้จะมีความท้าทายจากผลกระทบของสงคราม จนทำให้ประชากรชาวปาเลสไตน์กระจัดกระจายอยู่ทั้งในเขตเวสต์แบงก์ ฉนวนกาซา เยรูซาเล็ม และอพยพลี้ภัยไปยังต่างประเทศ แต่ก็ยังเชื่อว่า ทางการปาเลสไตน์จะสามารถระบุถึงข้อมูลประชากรของตนเองได้
ขณะที่เงื่อนไขเรื่องรัฐบาล แม้ว่าปาเลสไตน์จะมีหน่วยงานอย่าง ‘องค์การบริหารแห่งชาติปาเลสไตน์’ (Palestinian Authority: PA) แต่ก็ไม่ได้มีเอกภาพมากนัก มีความแตกแยกทางการเมืองภายใน อีกทั้ง PA ก็ไม่ได้มีอิทธิพลครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของปาเลสไตน์
ส่วนเงื่อนไขเรื่องดินแดน ดูเหมือนจะเป็นเงื่อนไขที่มีความท้าทายมากที่สุด โดยอาจารย์มาโนชญ์กล่าวว่า อิสราเอลพยายามเข้าควบคุมดินแดนของปาเลสไตน์ พร้อมแบ่งแยกเวสต์แบงก์กับฉนวนกาซาออกจากกัน นอกจากนี้ยังผ่านกฎหมายอนุญาตให้สร้างนิคมชาวยิวในเขตเวสต์แบงก์ ซึ่งขัดกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และพยายามเดินหน้ายึดครองเขตเวสต์แบงก์ และกาซาซิตี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้การระบุดินแดนที่แน่ชัดของปาเลสไตน์ ทำได้ยากมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น เงื่อนไขของความเป็นรัฐ สำหรับปาเลสไตน์จึง ‘ยังห่างไกล’ จากการเป็นรัฐที่แท้จริง เนื่องจากการขัดขวาง และปิดกั้นโอกาสของอิสราเอล รวมถึงพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ
แนวโน้มสงคราม และอนาคตของรัฐปาเลสไตน์
อาจารย์มาโนชญ์คาดการณ์ว่า การสู้รบในฉนวนกาซายังคงจะดำเนินต่อไป เพียงแต่ว่า อาจจะหนักขึ้นหรือเบาลงเท่านั้น โดยอาจารย์ระบุว่า สถานการณ์สงครามจะรุนแรงขึ้น หากอิสราเอลยังไม่สามารถจัดการกับกลุ่มฮามาส และช่วยเหลือตัวประกันทั้งหมดได้
อย่างไรก็ตาม การสู้รบอาจเบาลง หากอิสราเอลสามารถมองหา ‘คนกลุ่มใหม่’ ที่สามารถขึ้นมาปกครองฉนวนกาซาได้ โดยอิสราเอลต่อต้านกลุ่มฮามาส และไม่สนับสนุนฝั่งมาห์มูด อับบาส ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ โดยเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลออกมายอมรับเป็นครั้งแรก เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาว่า อิสราเอลได้สนับสนุน ‘กลุ่มติดอาวุธชาวปาเลสไตน์’ เพื่อใช้เป็นตัวแทนของตัวเองในการต่อสู้กับกลุ่มฮามาส
โดยเจ้าหน้าที่อิสราเอลระบุว่า หนึ่งในกลุ่มติดอาวุธที่เนทันยาฮูอ้างถึงคือ ‘กองกำลังประชาชน’ (Popular Forces) ซึ่งนำโดยยัสเซอร์ อาบู ชาบับ ซึ่งมีอิทธิพลอยู่ในเมืองราฟาห์ ทางตอนใต้สุดของฉนวนกาซา
อาจารย์ยังระบุว่า อิสราเอลอาจสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในฉนวนกาซามากขึ้น ในขณะที่ตัวเองก็อาจหันไปเน้นทำสงครามกับแนวรบอื่นๆ เช่น เลบานอน และซีเรีย เพื่อขยายดินแดน และสร้างอิสราเอลที่ยิ่งใหญ่ตามแนวคิด ‘Greater Israel’ ซึ่งเป็นภารกิจทางด้านจิตวิญญาณที่เนทันยาฮูต้องการทำให้สำเร็จ
ส่วนอนาคตของรัฐปาเลสไตน์นั้น หลายฝ่ายมองว่า ถ้ายังไม่มีการตั้งรัฐปาเลสไตน์ก็จะไม่มีความปลอดภัยหรือเสถียรภาพภายในภูมิภาค ขณะที่อิสราเอลมองว่า การรับรองรัฐปาเลสไตน์จะทำให้ภูมิภาคนี้ไม่มีเสถียรภาพ และเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของอิสราเอล การรับรองสถานะความเป็นรัฐจึงเปรียบเสมือนเป็นการให้รางวัลแก่กลุ่มฮามาส โดยผู้นำอิสราเอลเน้นย้ำว่า เขาจะไม่ยอมปล่อยให้มีการจัดตั้งรัฐปาเลสไตน์อย่างเด็ดขาด ซึ่งนั้นอาจทำให้ความตึงเครียดระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอีก
อ้างอิง:
- https://www.bbc.com/news/articles/cvgp5z1vvj5o
- https://www.bbc.com/news/articles/c87y4ljx85qo
- https://www.bbc.com/news/articles/c930dlxnee4o
- https://www.aljazeera.com/features/2025/9/21/is-recognising-palestine-a-way-to-save-face-for-western-leaders
- https://www.theguardian.com/world/2025/sep/19/what-uk-recognition-palestine-state-will-mean
- https://www.diariandorra.ad/nacional/250923/andorra-reconeixement-palestina_180574.html
- https://edition.cnn.com/world/middleeast/countries-recognize-palestinian-state-intl-vis
- https://www.aljazeera.com/features/2025/9/21/israel-bristles-as-uk-leads-western-recognition-of-palestine
- https://edition.cnn.com/2025/09/22/middleeast/france-palestine-state-recognition-united-nations-intl-latam
- https://www.rtbf.be/article/direct-guerre-au-proche-orient-quels-pays-s-appretent-a-reconnaitre-l-etat-palestinien-ce-lundi-11605109
- https://www.aljazeera.com/opinions/2025/9/18/western-bids-to-recognise-a-palestinian-state-put-israel-first
- https://edition.cnn.com/2025/09/21/middleeast/netanyahu-palestinian-state-response-latam-intl
- https://www.aljazeera.com/news/2025/6/5/netanyahu-admits-israel-backed-armed-rivals-of-hamas-in-gaza