นักลงทุนต่างชาติโหมซื้อทั้งในตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ไทย โชว์ยอดสุทธิเฉพาะเดือนพฤศจิกายนรวมแล้วเกือบ 5.6 หมื่นล้านบาท กดดันเงินบาทแข็งค่าแตะระดับ 30.30 บาท หรือแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 1 บาทต่อดอลลาร์ นักวิเคราะห์ประเมินปีหน้าส่อทะลุ 29 บาทต่อดอลลาร์
การเคลื่อนไหวของ ‘ค่าเงินบาท’ ตลอดเดือนพฤศจิกายนถือว่าแข็งค่าอย่างรวดเร็ว ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 30.25-30.50 บาทต่อดอลลาร์ เทียบกับช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 31.30 บาทต่อดอลลาร์ เท่ากับว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วราว 1 บาทต่อดอลลาร์ภายในเวลาไม่ถึง 1 เดือน
เงินบาทที่แข็งค่าเป็นผลจาก 2 ปัจจัยหลักคือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ แม้ผลอย่างเป็นทางการยังไม่ออกมา แต่ชัดเจนแล้วว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่จะเป็น โจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต ซึ่งมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปริมาณที่มากกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งนโยบายการค้าระหว่างประเทศก็มีความประนีประนอมมากกว่า ส่งผลให้นักลงทุนเปิดรับความเสี่ยง หันมาลงทุนในตลาดเกิดใหม่มากขึ้น
ส่วนอีกปัจจัยคือ ข่าวความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ซึ่งล่าสุด บริษัท ไฟเซอร์ ผู้ผลิตยายักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ ได้ประกาศความสำเร็จการคิดค้นพัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 โดยมีประสิทธิภาพในการต่อต้านเชื้อไวรัสดังกล่าวได้ถึง 90% ส่งผลให้นักลงทุนคาดหวังว่าเมื่อวัคซีนนี้ผลิตออกมาได้ จะหนุนให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวกลับมาได้เร็วกว่าที่คาด
จากทั้งสองปัจจัยดังกล่าว ทำให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายไหลเข้ามายังภูมิภาคเอเชีย ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย โดยตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ของไทยรวมกว่า 55,917 ล้านบาท แบ่งเป็นการซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 22,932 ล้านบาท และซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ 32,985 ล้านบาท
อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย กล่าวยอมรับว่า เงินบาทในช่วงนี้แข็งค่าเร็วเกินไปจากสองปัจจัยดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่นักลงทุนต้องระมัดระวัง เพราะระยะสั้นความไม่แน่นอนต่างๆ ยังมีสูง โดยเฉพาะข่าววัคซีนที่กว่าจะนำมาใช้ได้จริง ต้องใช้เวลาอีกพอสมควร ระยะสั้นจึงอาจเห็นนักลงทุนต่างชาติหันกลับไปถือเงินดอลลาร์ได้ ซึ่งจะทำให้เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลง โดยฝ่ายวิจัยซีไอเอ็มบีไทยประเมินเงินบาทช่วงปลายปีนี้ไว้ที่ 30.50 บาทต่อดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าถือเป็นปีที่ต้องระมัดระวังสำหรับค่าเงินบาท เพราะมีแนวโน้มว่าเงินบาทจะแข็งค่าทะลุระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์ได้ เนื่องจาก โจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในปริมาณมหาศาล ส่งผลให้ปริมาณเงินดอลลาร์ในระบบเพิ่มขึ้น กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ส่งผลต่อเงินบาทที่จะแข็งค่ามากขึ้น
สงวน จุงสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ผู้บริหารฝ่าย ทีม Investment and Markets Research สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า เงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้าประเทศไทยช่วงนี้ ส่วนใหญ่ยังเป็นการไหลเข้าตลาดพันธบัตร (บอนด์) ซึ่ง 80% เข้ามาลงทุนในบอนด์ระยะสั้น สะท้อนว่าเป็นเม็ดเงินที่หวังเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท ส่วนเงินที่เข้ามาในบอนด์ระยะยาวมีบ้างแต่ไม่ได้มากนักเมื่อเทียบกับบอนด์ระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม เงินทุนที่ไหลเข้ามาในช่วง 1-2 วันนี้เริ่มเบาลงแล้วเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า สาเหตุเพราะตลาดการลงทุนเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายปี ซึ่งเป็นช่วงที่นักลงทุนจะไม่อัดเงินเข้ามามากนัก เพราะจะรอลงทุนในปีหน้าเลย ดังนั้นสิ่งที่ต้องจับตาคือ ในปีหน้าอาจเริ่มเห็นนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในภูมิภาคอย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงตลาดไทยด้วย จึงมีความเสี่ยงสูงที่เงินบาทจะแข็งค่าทะลุระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์ได้
“ถ้าดูจากเงินที่ไหลเข้ามาเมื่อวานนี้ (11พฤศจิกายน) รวมถึงวันนี้ (12 พฤศจิกายน) ด้วยแล้ว และดูรวมไปถึงท่าทีต่างๆ ในตลาดหุ้น คิดว่าเงินต่างชาติน่าจะชะลอลงบ้างแล้ว แม้เขาจะยังไม่ปิด Position แต่ก็คงไม่เข้ามาแบบเต็มแม็กซ์ คาดว่าเขาน่าจะรอใส่เพิ่มปีหน้าเลย ซึ่งปีหน้าถือว่าน่าสนใจมาก โดยเฉพาะช่วงสองสัปดาห์แรก คิดว่าพอเปิดมาใครมีเท่าไรคงอัดกันเต็มที่ ทำให้สกุลเงินในตลาดเกิดใหม่รวมทั้งเงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้น”
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า