โจโก วีโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ส่งผลให้ราคาอาหารและพลังงานพุ่งสูงขึ้น ซึ่งทำให้ประเทศกำลังพัฒนาอย่างอินโดนีเซียตกอยู่ในความเสี่ยง
วีโดโดให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าว CNBC ว่า “สิ่งที่ผมกังวลมากที่สุดคือราคาอาหาร ฉะนั้นเราต้องการให้สงครามในยูเครนยุติลงโดยใช้การเจรจากัน หลังจากนั้นเราจึงจะสามารถโฟกัสไปที่การพัฒนาภาคเศรษฐกิจได้”
คำกล่าวของวีโดโดมีขึ้นหลังการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน อันเนื่องมาจากสงครามทำให้ราคาอาหารทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น โดยโครงการอาหารโลกขององค์การสหประชาชาติ (UN) เตือนว่า ผู้ที่เผชิญกับความไม่มั่นคงด้านอาหารอย่างรุนแรงทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นเป็น 323 ล้านคนในปีนี้ หรือเพิ่มขึ้นจากระดับ 276 ล้านคนในปัจจุบัน อันเป็นผลมาจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน
ผู้นำอินโดนีเซียจะเข้าประชุมร่วมกับผู้นำกลุ่ม G7 ตามคำเชิญของเจ้าภาพอย่างเยอรมนี ในระหว่างวันที่ 26-28 มิถุนายนนี้ โดยสื่อต่างประเทศรายงานว่า วีโดโดจะเข้าพบประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ในวันที่ 30 มิถุนายนด้วย
ทั้งนี้ วีโดโดตั้งเป้าที่จะเดินทางเยือนประเทศต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤตอาหารภายหลังการประชุมสิ้นสุดลง แต่ยังไม่ได้ยืนยันว่าเขาจะเดินทางเยือนรัสเซียหรือยูเครนด้วยหรือไม่ โดยทั้งสองประเทศถือเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและผู้ส่งออกข้าวสาลีรายใหญ่ที่สุดของโลก หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 29% ของตลาดส่งออกข้าวสาลีทั่วโลก
นับตั้งแต่ช่วงที่สงครามเปิดฉากขึ้น ราคาข้าวสาลีก็ได้พุ่งทะยานขึ้นอย่างมาก เนื่องจากยูเครนไม่สามารถเพาะปลูกหรือส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ได้ตามปกติ ซึ่งขณะนี้ราคาข้าวสาลีทะยานขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
ในฐานะประธานการประชุมกลุ่ม G20 อินโดนีเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด Heads of State and Government Summit ในบาหลีเดือนพฤศจิกายนนี้ และถึงแม้จะมีเสียงเรียกร้องให้ถอดรัสเซียออกจากการประชุม แต่อินโดนีเซียยังยืนยันที่จะเชิญปูตินเข้าร่วมการประชุมผู้นำด้วย อีกทั้งยังได้ส่งคำเชิญไปยังโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน แม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่ม G20 ก็ตาม โดยหวังที่จะใช้เวทีนี้ในการแก้ปัญหาสงครามที่กินเวลายืดเยื้อมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์
ภาพ: Andy Buchanan – Pool / Getty Images
อ้างอิง: