สถานีโทรทัศน์ Al Jazeera รายงานว่า ทางการ อินโดนีเซีย ผนึกกำลังร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และบริษัทพลังงานภาคเอกชนในการรีไฟแนนซ์และยกเลิกการใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินครั้งแรก ภายใต้โครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สะท้อนถึงความพยายามอย่างเอาจริงเอาจังของรัฐบาลในการลดการพึ่งพาพลังงานถ่านหินให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
เมื่อไม่นานมานี้ แถลงการณ์ของ ADB ระบุว่า ภายใต้บันทึกความเข้าใจร่วมกัน (MOU) โรงไฟฟ้า Cirebon 1 ขนาด 660 เมกะวัตต์ในชวาตะวันตก จะได้รับการรีไฟแนนซ์ด้วยข้อตกลงมูลค่า 250-300 ล้านดอลลาร์ โดยมีเงื่อนไขว่าโรงไฟฟ้าดังกล่าวจะต้องหยุดให้บริการภายใน 10-15 ปี ก่อนสิ้นสุดอายุการให้งานที่แท้จริง โดยโรงไฟฟ้าแห่งนี้มีอายุใช้งานราว 40-50 ปี
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เกิดอะไรขึ้นกับ ‘ฮ่องกง’ ทำไมสถานะ ‘ศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย’ กำลังถูกสั่นคลอน และอาจกลายเป็นแค่อดีต
- ส่องกรณีศึกษาการเติบโตของ เศรษฐกิจสิงคโปร์ ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่รออยู่ข้างหน้า
- เปิดจุดเด่น เวียดนาม หลังจ่อขึ้นแท่นประเทศที่คว้าชัยในยุค Deglobalization
รายงานระบุว่า ADB กับรัฐมนตรีคลังอินโดนีเซีย Sri Mulyani Indrawati จะประกาศการลงนาม MOU ครั้งนี้ ในการประชุมนอกรอบของกลุ่ม G20 ที่เกาะบาหลีของอินโดนีเซีย
ADB ประเมินว่า จากการทำข้อตกลงครั้งนี้จะสามารถกำจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากถึง 30 ล้านตันในระยะเวลา 15 ปี ซึ่งเทียบเท่ากับการนำรถยนต์ 800,000 คันออกจากท้องถนน
ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าว เป็นข้อตกลงฉบับแรกภายใต้กลไกการเปลี่ยนผ่านพลังงาน หรือ Energy Transition Mechanism (ETM) ของ ADB ซึ่งเป็นความคิดริเริ่มในการผสมผสานกองทุนเพื่อการลงทุนของเอกชน การเงินสาธารณะ และการบริจาคเพื่อการกุศล เพื่อซื้อหรือรีไฟแนนซ์โรงไฟฟ้าถ่านหินในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำมาจัดการให้โรงไฟฟ้าเหล่านี้ยุติการใช้งานก่อนกำหนดท่ามกลางการเดินหน้าเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียนของภูมิภาค
โครงการ ETM ซึ่งรายงานครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ได้รับการพัฒนาโดย ADB โดยได้รับข้อมูลจากบริษัทเอกชน ได้แก่ Prudential, Citi และ BlackRock เพื่อขจัดการปล่อยคาร์บอนในอนาคตหลายทศวรรษโดยการปรับเปลี่ยนกลไกตลาดและการดำเนินงานโรงไฟฟ้าถ่านหินตามหลักเศรษฐศาสตร์
Ahmed M. Saeed รองประธาน ADB ประจำภูมิภาค ระบุว่า ปัญหาของพลังงานถ่านหินแบบดั้งเดิมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถือเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดปัญหาเดียวสำหรับการเปลี่ยนแปลงด้านพลังงาน ซึ่งการประกาศในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรกที่จะทำให้การเลิกใช้ถ่านหินเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ADB ย้ำว่า ข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างความเป็นเจ้าของของโรงงาน Cirebon 1 ที่เพิ่งจะมีอายุ 12 ปีนับตั้งแต่การก่อตั้งใช้งาน โดยโรงงาน Cirebon 1 ถือเป็นผู้จัดหาพลังงานรายใหญ่ให้กับรัฐบาลอินโดนีเซีย โดยมีสัญญาจัดหาพลังงาน 30 ปีกับ Perusahaan Listrik Negara (PLN) ผู้ดำเนินการโครงข่ายไฟฟ้าของรัฐ
David Elzinga ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาวุโสของ ADB อธิบายว่า แทนที่จะเปลี่ยนเจ้าของ ADB จะเข้าไปชดเชยเจ้าของ Cirebon Electric สำหรับมูลค่าปัจจุบันของกำไรที่หายไปจากการเลิกใช้งานก่อนกำหนดของโรงงาน ผ่านเงินกู้ใหม่ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งจัดโดยหน่วยงานภาคเอกชนของ ADB
ข้อตกลงดังกล่าวจะรวมเงินทุนจากการจัดสรร 500 ล้านดอลลาร์จากกองทุน Climate Investment Funds ของอินโดนีเซีย และในเบื้องต้น ทาง ADB ได้ขอเงินสนับสนุน 50 ล้านดอลลาร์จากกองทุน ขณะที่มีกลุ่มบริษัทการเงินและองค์กรอิสระหลายแห่งที่แสดงความสนใจที่จะเข้าร่วมการดำเนินการรีไฟแนนซ์ โรงงานพลังงานถ่านหินในครั้งนี้
อ้างอิง:
