ต้องยอมรับว่าซีรีส์ แปลรักฉันด้วยใจเธอ ของค่ายนาดาว บางกอกที่กำลังฉายอยู่ทาง LINE TV ในขณะนี้ ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของใครหลายๆ คน นอกเหนือจากเสน่ห์ล้นจอของนักแสดงแล้ว เรื่องราวรสเข้มเกี่ยวกับความสัมพันธ์และการเติบโตของเพื่อนสองคนก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับเสียงชื่นชมมากมายตั้งแต่ออกฉาย และหนึ่งในผู้ชมนั้นรวมถึงเราเองด้วยที่นั่งสำรวจเรื่องราวชีวิตของ เต๋ และโอ้เอ๋วผ่านสายตาของเกย์คนหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะต้องหยิบขึ้นมาส่งต่อให้เพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้ชมสิ่งนี้ด้วยกัน
เล่าอย่างสั้นที่สุด แปลรักฉันด้วยใจเธอ คือ ‘เรื่องราวชวนปวดใจของเด็กวัยเตรียมมหาวิทยาลัยที่กำลังสับสนวุ่นวายใจในเรื่องความรู้สึกที่มีต่อเพศเดียวกัน ท่ามกลางอากาศร้อนเร่าของฤดูร้อนจังหวัดภูเก็ต’ และถ้าหากจะจัด Genre ให้กับซีรีส์นี้ก็คงเป็นซีรีส์โรแมนติกดราม่าที่เล่าเรื่องของความหลากหลายทางเพศอย่างตรงไปตรงมาที่สุด ท่ามกลางอุตสาหกรรมบันเทิงที่กำลังโฟกัสไปที่ซีรีส์วาย ซีรีส์ Boy Love ที่มีแฟนๆ ติดตามจำนวนมาก แต่นี่คือรสชาติที่แตกต่างไป ทั้งโทนการเล่าและมิติของเรื่องราว
ความคาดหวังของเธอมันหนักบ่าฉัน
ช่วงวัยที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเล่าของตัวละครหลักทั้งเต๋และโอ้เอ๋ว คือช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญกับชีวิต คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ที่ทุกคนอาจเคยมีประสบการณ์ร่วมทั้งยุคเอ็นทรานซ์ O-NET A-NET GAT-PAT หรือแม้แต่ TCAS เราต้องนับมันเป็นช่วงวัยที่สำคัญที่จะขีดเส้นชีวิตทั้งชีวิตของเยาวชนประเทศนี้ และแน่นอนว่ามันเป็นหัวเชื้อสำคัญในการดำเนินเรื่องที่ดี ที่ทำให้เห็นจุดหมายของตัวละคร ปัญหากับสิ่งรอบข้าง ความเครียด หรือแม้แต่เรื่องความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปก็ตาม ซึ่งการหยิบเอาเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของตัวละครมาเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราว ทำให้เราได้เห็นการแตกประเด็นต่างๆ ออกไปในสิ่งที่กรอบของสังคมกำลังกดทับเยาวชนอยู่อย่างค่อนข้างเห็นได้ชัด ทั้งเรื่องการศึกษาและเรื่องเพศที่เราจะเล่าภายหลัง
ตัวละครหลักและเพื่อนๆ เองก็กำลังอยู่ในช่วงเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย นอกเหนือจากความเข้มข้นของการเรียนแล้ว สิ่งที่สำคัญมากๆ คือการค้นหาตัวตนของตัวละครเองว่าพวกเขาชอบสิ่งไหน ชอบอะไร และอยากเรียนอะไร ซึ่งเป้าหมายของตัวละครคือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้
แต่พวกเขาไม่ได้แค่แบกอนาคตของตัวเองไว้บนบ่า เพราะยังต้องแบกความคาดหวังจากคนรอบข้าง ความภาคภูมิใจของครอบครัว หรือความสำเร็จบางอย่างที่สังคมกำหนดไว้ เช่น ฉากที่แม่ของเต๋พาเพื่อนจำนวนมากมาร่วมฉลองในวันที่ลูกชายมีที่เรียนแล้ว เรียกเต๋ว่านักศึกษาและชื่นชมลูกชายใหญ่โต ซึ่งนับว่าเป็นวิธีการเล่าเรื่องที่ทำให้เราเห็นถึงภาระอันหนักอึ้งของช่วงวัยที่เราต่างเคยผ่านมา เหมือนเราต่างได้เห็นสิ่งที่ตัวเองต้องฝ่าฟันมาอีกครั้งผ่านซีรีส์เรื่องนี้ และเราก็เชื่อว่าคนในช่วงวัยนี้ในปัจจุบันเองก็ยังคงต้องแบกรับภาระทางความรู้สึกนี้ไว้เช่นกัน ด้วยความกลัว กลัวว่าตนจะไม่ประสบความสำเร็จ หรือมีเส้นทางชีวิตที่ไม่เหมือนคนอื่นที่ถูกปั้นรวมเป็นมวลความกดดันที่น่าปวดใจในช่วงวัยหนึ่ง จึงไม่แปลกหากเรื่องราวนี้จะ Relate กับผู้ชมได้ไม่ยากเลย
เพศ เรื่องที่คุยกันได้ไม่รู้จบ
ในเอพิโสดลำดับที่ 4 ล่าสุดนั้น นับเป็นช่วงเวลาของเรื่องราวที่ค่อนข้างเข้มข้นและหนักหนาพอสมควร เมื่อตัวละครต่างเข้าหากันและสำรวจความรู้สึกกันอย่างเปิดเผยเสียที หลังจากลุ้นกันมาหลายสัปดาห์แล้ว และในฐานะผู้ชมเราก็ค้นพบว่ามันสวยงาม และบุบสลายอยู่ในที เมื่อตัวละครหลักทั้งเต๋และโอ้เอ๋วได้ก้าวข้ามเส้นของความสัมพันธ์ไปแล้ว พวกเขาบรรจงจูบกันใต้แผ่นน้ำที่กว้างใหญ่ เป็นสัญญาณของความรู้สึกบางอย่างที่พุ่งทะลักออกมาจากหัวใจ แต่ทุกอย่างกลับริบหรี่ลงเมื่อฝ่ายเต๋กลับบอกกับโอ้เอ๋วว่าสถานะของพวกเขาเป็นเพียงแค่เพื่อน แต่การกระทำมันไม่ใช่ – เพื่อนกันเขาไม่ทำแบบนี้นะเต๋!
การถูกปฏิเสธจากเต๋ทำให้โอ้เอ๋วใจสลาย เราอาจเข้าใจได้ในจุดนี้ว่า ท่ามกลางช่วงวัยที่สับสน เรื่องราวต่างๆ นานา เรื่องเพศก็เป็นอีกเรื่องที่คุยกันได้ไม่รู้จบจริงๆ ในวัยค้นหาตัวตนแบบนี้ เช่นเดียวกับที่เราเคยได้เห็น ภู จากซีรีส์ Hormones วัยว้าวุ่น หรือ ธัน จากซีรีส์ เขามาเชงเม้งข้างๆ หลุมผมครับ ที่ต่างค้นหาและยอมรับตัวเองได้ เช่นเดียวกันกับ โอ้เอ๋ว ผู้ที่เข้าใจตัวเองดีตั้งแต่ต้นว่าเขาชอบผู้ชาย เขาเป็นเกย์ และชัดเจนในความรู้สึกดีทุกอย่าง กลับทำให้เราคิดถึงวัยเด็กของเราที่อาจจะเผลอใจไปชอบเพื่อนผู้ชายหลังห้องโดยที่เขาไม่ได้ชอบตอบ
แต่กลับกัน ทางด้านเต๋ เขายังคงสับสน และไม่เข้าใจในความรู้สึกของตัวเอง เขาอาจจะเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังสานสัมพันธ์กับ ตาล เด็กหญิงที่ชอบพอกัน หรือเขาอาจจะเป็นเกย์ที่หลงรักเพื่อนตัวเองที่ชื่อ โอ้เอ๋ว ก็ได้ หรือเขาอาจจะเป็นไบเซ็กชวลที่ชอบพอได้ทั้งสองเพศ หรือเขาอาจจะยังไม่รู้อะไรเลยกับช่วงชีวิตที่ยังวุ่นวายใจในหลายๆ เรื่องและหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ในเมื่อสังคมยังคงให้คุณค่ากับเรื่องเพศ Straight อยู่เท่านั้น มีแค่ชายกับหญิง แล้วเขาจะยืนตรงไหนหากเขารู้สึกไม่เหมือนคนอื่น? แล้วเขาจะได้รับการยอมรับไหม?
เราชื่นชอบการเล่าเรื่องเพศในซีรีส์เรื่องนี้พอสมควร ค่อนข้างตรงไปตรงมา ไม่เขินอายที่จะเล่าและไม่ประนีประนอม โดยเฉพาะในหลายๆ ครั้งที่เต๋และโอ้เอ๋วมีปฏิสัมพันธ์กันแบบลึกซึ้ง ซีรีส์มักจะแสดงให้เห็นภาพ ‘การคลึงหน้าอก’ อย่างชัดเจนทุกครั้ง ซึ่งนั่นอาจเป็นสัญลักษณ์ที่กำลังชวนให้ผู้ชมเองคิดว่าเต๋มองสถานะทางเพศของโอ้เอ๋วไว้อย่างไร
ฉากที่นับว่าเป็นความพีกที่สูงที่สุดของเรื่อง หรืออาจจะเป็นซีนที่พีกที่สุดซีนหนึ่งในวงการบันเทิงบ้านเราก็ว่าได้ คือฉากที่โอ้เอ๋วเดินเข้ามาในห้องของตน เปิดตู้เสื้อผ้าและหยิบเอาบราสีแดงสดมาใส่ประคองอก ยืนบิดตัวชมความงามของเรือนร่าง และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโพสต์ภาพลงในอินสตาแกรมส่วนตัวของตัวเอง ก่อนจะรีบลบทันทีที่ใจฉุกคิดบางอย่างขึ้น และร้องไห้อย่างทรมานเจียนตาย แน่นอนว่ามันทำให้ผู้ชมเซอร์ไพรส์อย่างมากในความกล้าเล่านี้
การที่โอ้เอ๋วเลือกเดินไปเปิด ‘ตู้เสื้อผ้า’ แล้วหยิบบราสีแดงสดนี้ คงอุปมาอุปไมยได้ว่ามันคือการนำเสนอวลี ‘Out of the closet’ หรือการเปิดเผยตัวตนออกมา หรือการ Come Out นั่นเอง และการที่โอ้เอ๋วพยายามค้นหามุมมองที่งดงามที่สุดของตัวเองภายใต้บรานั้น อาจเป็นเพราะหลายๆ ความรู้สึกที่มันท่วมท้นออกมา เราไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งที่โอ้เอ๋วต้องการคืออะไร เขาอาจจะอยากเป็นผู้หญิงหรือเปล่า หรือเขาต้องการเพียงแค่การยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นจากใครสักคนหนึ่ง
และคำถามสำคัญที่สุดคงเป็นการอยากรู้ว่าสิ่งที่เต๋กำลังคิดกับเขาคืออะไร นั่นจึงกลายเป็นที่มาของน้ำตาเรือนลิตรที่โอ้เอ๋วพยายามอยากจะใส่บราเพื่อค้นหาคำตอบนั้นเช่นกันว่า หากการมีหน้าอกจะทำให้เขาได้รับความรู้สึกที่ดีจากเต๋กว่าที่เป็นอยู่หรือเปล่า จากพฤติกรรมและการแสดงออกที่เต๋ทำ และนั่นอาจเป็นความหวาดกลัวที่ก่อตัวขึ้นในตัวเขาว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นผิดหรือถูก และเป็นการลบล้างความเป็นตัวของตัวเองออกไปหรือเปล่า? เพราะเขาเป็นเกย์ และเขาไม่ได้อยากเป็นผู้หญิง
นี่คือการแสดงภาพกรอบสังคมที่กดทับความเป็นเพศอื่นๆ ไว้ ให้เห็นถึงโลกที่มีแค่ชายกับหญิง และไม่ได้มีพื้นที่ให้ความหลากหลายทางเพศ และถ้าหากต้องมีความรัก จำเป็นต้องเลือกใครสักคนที่เป็นเพศตรงข้ามเท่านั้นหรือเปล่า และเรื่องราวก็ทำให้เราได้เห็นประเด็นนี้ชัดเจนขึ้น เมื่อเต๋ได้เห็นภาพนั้นของโอ้เอ๋วและพยายามจะช่วยตัวเองทั้งน้ำตา นั่นคือความรู้สึกผิด สับสน ไม่เข้าใจ และหนักหนามากเกินไปสำหรับเด็กวัย 18 คนหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความรู้สึกเช่นนี้
และถ้าหากเราได้สำรวจคนในวัยดังกล่าวหรือผู้เคยมีประสบการณ์ร่วม เราอาจเคยสงสัยกันเสมอว่า ทำไมเราต้องเป็นอย่างคนอื่น ทำไมครอบครัวต้องคาดหวังให้เราทำแบบนั้นหรือเป็นแบบนี้ หรือทำไมสังคมต้องคอยตั้งคำถามกับความ ‘ไม่เหมือนคนอื่น’ ของเพศเรา เหมือนกับเยาวชน LGBTQ จำนวนมากที่ยังคงต้องเผชิญหน้ากับสังคมที่ยังไม่เข้าใจพวกเราเท่าที่ควร อาจใช่ในแง่หนึ่งที่เราพูดว่าสังคมไทยเปิดรับและเข้าใจความหลากหลายทางเพศแล้ว แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดหรอก เพราะเพศเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะในแง่กายภาพ บุคลิกภาพ หรือรสนิยมก็ตาม และมันไม่ตายตัว ซึ่งกรอบสังคมแบบดั้งเดิมยังคงกดทับความเป็นเพศอื่นๆ ไว้โดยไม่รู้ตัว และพวกเราควรมีที่หยัดยืนอย่างถูกต้องในสักวัน ไม่ว่าจะในแง่ความรู้ ความเข้าใจ การมีอยู่ หรือแม้แต่ในเรื่องกฎหมายรองรับก็ตาม
และสิ่งที่ถูกซ่อนไว้ในซีรีส์เรื่องนี้คือพลังงานแง่บวกเล็กๆ ที่ชี้ชวนให้เราเข้าใจตัวเอง เข้าใจคนอื่น และพร้อมที่จะเติบโตไปอย่างเข้มแข็ง ให้เกียรติตัวเองและคนรอบข้าง ยอมรับในความแตกต่างและสิ่งที่เราเป็น และถ้าหากในซีรีส์เรื่องนี้หยิบยกเอาดอกชบาขึ้นมาเป็นตัวแทนของเพศที่หลากหลายในเรื่องนี้ เราเองก็คาดหวังว่าสังคมนี้จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเพื่อให้ดอกชบาได้เบ่งบานสวยงามอย่างที่มันเป็น
สิ่งที่น่าชื่นชมนอกเหนือจากแก่นเรื่องที่ไม่ได้ยากเกินเข้าใจแล้ว มาตรฐานของงานถ่ายทำ โปรดักชัน หรือการแสดงเองก็ตามล้วนแต่ขับเคี่ยวออกมาได้อย่างครบรส โดยเฉพาะการแสดงของสองนักแสดงนำทั้ง บิวกิ้น-พุฒิพงศ์ อัสสรัตนกุล และ พีพี-กฤษฏ์ อำนวยเดชกร ที่มีเคมีที่ดีต่อกัน ขับเสน่ห์ให้กันและกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ แต่อีกส่วนที่ต้องชื่นชมมากๆ คือการปรากฏตัวของ สไมล์-ภาลฎา ฐิตะวชิระ ในบท ตาล ที่เธอทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมทุกครั้งที่โผล่ขึ้นมาบนจอ
แม้ภาพแรกที่ฉาบไว้ของซีรีส์เรื่องนี้จะเป็นซีรีส์ชวนจิ้นและขายเสน่ห์ของนักแสดงนำอย่างชัดเจนแล้ว แต่ แปลรักฉันด้วยใจเธอ เป็นได้มากกว่านั้น นี่คือการเล่าเรื่องชีวิตของมนุษย์ที่มีมิติสวยงาม ทั้งยังยืนหยัดเพื่อการมีอยู่ของความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริง และเป็นก้าวสำคัญของนาดาว บางกอกที่พร้อมสร้างงานบันเทิงน้ำดีขึ้นมาเพื่อกระตุ้นความตระหนักรู้ในเรื่องนี้อย่างไม่เคอะเขินอีกต่อไป
ภาพ: Nadao Bangkok
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า