Q: เพิ่งมาเป็นหัวหน้าค่ะ รู้มาบ้างว่าลูกน้องจับกลุ่มเมาท์เราลับหลัง ไม่ชอบให้ใครนินทาเราเลย อยากดุเขาไปตรงๆ เหมือนกัน จะทำยังไงไม่ให้ลูกน้องนินทาดีคะ
A: ยินดีต้อนรับหัวหน้าคนใหม่ครับ รับรองว่าชีวิตการเป็นหัวหน้ามีอะไรให้เร้าใจอีกเยอะ!
สมัยที่ผมเป็นลูกน้อง และหัวหน้าของผมมีผมเป็นลูกน้องคนแรก เขาก็บอกผมครับว่า หลายเรื่องถ้าไม่ได้เป็นหัวหน้าเองก็คงไม่รู้ เป็นลูกน้องอย่างเดียวก็ได้เรียนรู้แบบหนึ่ง แต่พอเป็นหัวหน้าแล้วมีหลายอย่างที่ต้องเจอแบบที่ไม่เคยเจอตอนเป็นลูกน้อง ผมเพิ่งมาเข้าใจหัวอกคนเป็นหัวหน้าเอาจริงๆ ก็ตอนตัวเองเริ่มเป็นหัวหน้าแล้วต้องมีลูกน้องนี่แหละครับ ก็คงเหมือนที่ทุกท่านกำลังเจอกันอยู่และคงกำลังเรียนรู้วิชาการเป็นหัวหน้าอยู่นั่นแหละครับ
การเป็นหัวหน้าไม่ง่ายเลย ทุกท่านก็คงรู้สึก แต่เราเรียนรู้กันได้ครับ ลองผิดลองถูกกันไป ลูกน้องเราก็เหมือนบทเรียนให้เราได้เรียนรู้แหละครับ เปลี่ยนคนก็เหมือนเปลี่ยนวิชา ต้องลงหน่วยกิตใหม่ เรียนรู้ใหม่ เพราะฉะนั้น เมื่อก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าแล้วไม่ได้แปลว่าเราเก่งแล้วนะครับ แต่แปลว่าเรายังมีเรื่องต้องเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา อย่างที่ทุกคนรู้สึกนั่นแหละครับว่า ยากที่สุดก็เรื่องการบริหารคน
ข้อดีอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าคุณน่าจะได้ทบทวนก็คือ คุณเองก็เคยเป็นลูกน้องมาก่อน คงได้เจอหัวหน้ามาบ้างแล้ว มีหัวหน้าแบบไหนไหมครับที่คุณชอบจังเลย ก็ให้เอาเขาเป็นแบบอย่าง และถ้ามีหัวหน้าแบบไหนที่ลูกน้องจะไม่ชอบ ก็จำไว้และอย่าทำอย่างเขาครับ
คุณคงนึกออกว่ามีเรื่องไหนบ้างที่ลูกน้องจะเมาท์หัวหน้าได้บ้าง พฤติกรรมอะไรบ้างที่ลูกน้องไม่ชอบแล้วเขาอาจจะไม่แสดงออกโดยตรงแต่เก็บไปเมาท์กับเพื่อนๆ เช่น บรีฟงานไม่รู้เรื่อง โยนงานให้ลูกน้องตลอด มาสาย ทำผิดกฎระเบียบเอง ฯลฯ พวกนี้แหละครับที่คุณจะรู้แล้วว่าเป็นประเด็นที่ลูกน้องจะเอาไปเมาท์เราแน่นอน เพราะตอนเป็นลูกน้องเราก็ไม่ชอบเหมือนกันที่หัวหน้าทำแบบนี้ เพราะฉะนั้น พฤติกรรมแบบนี้พอเราเป็นหัวหน้าเองเราก็อย่าทำครับ เป็นประเด็นให้ลูกน้องเมาท์แน่นอน
ขณะเดียวกัน ไหนๆ คุณเคยเป็นลูกน้องมาก่อน ลองนึกดูนะครับว่ามีเรื่องไหนบ้างที่หัวหน้าทำแล้วลูกน้องจะรักจังเลย เช่น สอนงานลูกน้องดี ช่วยลูกน้องแก้ปัญหา ทำในสิ่งที่ตัวเองสอน เป็นแบบอย่างที่ดี ฯลฯ พฤติกรรมพวกนี้แหละครับคือสิ่งที่เราจะทำ เพราะทำแล้วเรารู้ว่าลูกน้องจะรักและเห็นเราเป็นแบบอย่าง
ความจริงข้อหนึ่งที่เราต้องเข้าใจและยอมรับในฐานะคนเป็นหัวหน้าก็คือ ลูกน้องพูดถึงเราอยู่แล้วครับ จะเรียกว่าเมาท์ นินทา หรืออะไรก็แล้วแต่ อย่างไรเขาก็พูดถึง คนเราถ้าจะเมาท์ เรื่องเล็กเรื่องน้อยหรือเรื่องใหญ่ใครก็เมาท์ได้หมด ใส่รองเท้ายี่ห้ออะไรคนยังเมาท์กันได้เลย เพราะฉะนั้น ต้องปล่อยครับ อย่าไปสนใจ สิ่งที่เราทำได้คือ เราทำตัวเองให้มีเรื่องดีมากพอที่เมื่อเขาจะพูดถึงเราก็ยังมีเรื่องดีให้พูดถึงอยู่ แค่นั้นพอครับ
ถ้าคนเราชอบเมาท์กันอยู่แล้ว เราใช้การเมาท์นี่แหละครับให้เป็นประโยชน์เสียเลย เราทำดีเข้าไว้ให้มากพอที่ทำให้เมื่อเขาพูดถึงเราก็ยังนึกถึงเรื่องดีๆ เขาก็จะเมาท์เรื่องดีๆ ของเรา ชื่นชมเรา แต่ถ้าเรามีแต่เรื่องเสียๆ เขาก็จะเมาท์เรื่องไม่ดีของเรา ทีนี้แหละครับเราจะไปเถียงว่ามันไม่จริงก็คงไม่ได้ เผลอๆ เมาท์ไปเมาท์มาเลยเถิดกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปอีก เราจะเสียหาย
ไม่จำเป็นที่เราต้องเรียกลูกน้องคุยว่า “พี่รู้นะว่าน้องเมาท์พี่ อย่าทำนะน้อง” ขึ้นชื่อว่าเมาท์กัน มันเป็นเรื่องที่เกิดลับหลังเรา เราไม่ได้รู้กับตัวเองแต่รู้มาจากคนอื่นอีกต่อหนึ่ง มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ได้ ถ้าปรากฏว่าเขาไม่ได้เมาท์จริง อันนี้เราจะดูแย่มาก เช่นเดียวกัน ถ้าเขาเมาท์เรา แต่เรื่องที่เขาเมาท์กันเป็นเรื่องที่เราทำจริง เราจะเถียงยังไงล่ะครับ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปคาดคั้นใดๆ จากลูกน้อง หน้าที่ของเราคือเราทำหน้าที่หัวหน้าให้ดี ทำตัวให้เป็นตัวอย่าง พยายามมองข้ามการถูกนินทา ระลึกเสมอว่าทุกการกระทำของเรามีคนจับตามองอยู่ เพราะฉะนั้น ถ้าทำดีเราก็จะเป็นตัวอย่างที่ดีได้ แต่ถ้าทำไม่ดีเราก็จะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี เราทำอะไรไว้ คนก็จะพูดถึงเราในแบบนั้น มันอาจจะมีทั้งเรื่องจริงและไม่จริงปนเปกันอยู่ แต่ไม่ต้องไปใส่ใจ เราทำหน้าที่ของเราไปให้ดีที่สุดก็พอครับ
ถ้าเราเป็นหัวหน้าแล้วเราไม่ชอบให้ลูกน้องเมาท์เรา เราก็ต้องประคับประคองตัวเราให้ไม่พูดถึงคนอื่นในทางที่ไม่ดีเหมือนกัน เราอยากให้คนทำอย่างไรกับเรา เราก็ต้องทำสิ่งนั้นกับคนอื่น เป็นไปได้ไหมครับที่เราจะเป็นหัวหน้าที่พูดถึงคนอื่นในแง่ดีเสมอ รู้จักชื่นชมคนอื่นเป็นให้ลูกน้องฟัง เวลาคนมองมาที่เราก็จะสัมผัสได้ว่าเราไม่เคยพูดร้ายเกี่ยวกับใคร ผมคิดว่าเรื่องดีๆ เราต้องพูดให้ดังครับ แต่เรื่องไม่ดี เวลาพูดให้พูดแล้วเกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ และไปแนะนำกับคนนั้นโดยตรง ไม่ต้องไปว่าให้คนอื่นฟัง
ผมคิดว่าที่คนเรากลัวการนินทาหรือการถูกพูดลับหลังก็เพราะเรากลัวว่าคนจะพูดถึงเราในทางที่ไม่ดี แต่ในเมื่อเราหนีไม่พ้นการถูกพูดถึงอยู่แล้ว ลองเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ว่า เราจะทำอย่างไรให้คนพูดถึงเราในทางที่ดี น่าจะทำให้เรามีกำลังใจและทำให้เราอยากทำงานให้ดีขึ้นมากกว่าจะมากังวลว่าเราจะถูกเมาท์ไหม
เริ่มต้นง่ายมากครับ ลองนึกภาพไว้ในหัวว่าคุณอยากให้ลูกน้องคุณพูดถึงคุณในฐานะหัวหน้าว่าอะไร ลิสต์ออกมา แล้วลองคิดว่าจะทำอย่างไรให้เราเป็นคนแบบนั้นที่เขาจะชื่นชมและเห็นเป็นแบบอย่างได้ ที่เหลือมันคือการทำสิ่งนั้นต่อไปเป็นระยะเวลานานพอที่จะกลายเป็นภาพจำให้คนนึกถึงเราในแบบนั้น
“หัวหน้าคนนี้โคตรเจ๋งเลย” เอาให้ลูกน้องเมาท์เราแบบนั้นไปเลยครับ
ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
*ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์
ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai