×

โรมา กับการสร้างปาฏิหาริย์ที่กรุงโรมในวันเดียว ทำไมจึงคว่ำบาร์ซาได้?

11.04.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

6 Mins. Read
  • โรมาสร้างปาฏิหาริย์ในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบ 8 ทีมสุดท้าย ด้วยการพลิกกลับมาชนะบาร์เซโลนาด้วยสกอร์ 3-0 ในเลกที่ 2 หลังพ่ายในเกมแรกมา 4-1 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 34 ปี
  • โรมานับเป็นทีมที่ 3 ต่อจากเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญา และบาร์เซโลนา ที่สามารถกลับมาเอาชนะได้ในเกมเลกที่ 2 จากที่ตามหลังอยู่ 3 ประตูในเลกแรกของรอบน็อกเอาต์ของศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
  • ชัยชนะของโรมา นักเตะในทีมและประธานสโมสรยกเครดิตให้แท็กติกของ ดิ ฟรานเชสโก ที่ปรับมาใช้กองหลัง 3 คน และเน้นเกมเพรสซิ่งหนักตลอดเกม จนทำลายจังหวะในเกมรุกของบาร์ซา และถล่มประตูพวกเขาได้ถึง 3 ลูก
  • ชัยชนะของโรมานอกจากความมุ่งมั่นของทีมแล้ว Henry Bushnell นักข่าวฟุตบอลของ Yahoo Sport มองว่า การย้ายทีมของเนย์มาร์เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้บาร์ซาตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายของฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลนี้

เช้าวันพุธที่ 11 เมษายน เป็นวันที่แฟนบอลทุกคนตื่นมาพร้อมกับรูปชัยชนะของ ลิเวอร์พูลเหนือว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เมื่อคืนวันอังคารที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา

โดยลูกทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ เอาชนะไปได้ทั้งในและนอกบ้านด้วยสกอร์รวมกัน 5-1 ดับฝันการคว้าแชมป์ยูฟ่าสมัยแรกของเรือใบสีฟ้า พร้อมก้าวเข้าใกล้ความฝันการไล่ล่าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ของหงส์แดงได้สำเร็จ  

 

แต่ข้ามมาสู่ประเทศอิตาลี ปาฏิหาริย์แห่งกรุงโรมก็ได้เกิดขึ้น เมื่อทีมโรมา หนึ่งในสองตัวแทนจากเซเรียอา อิตาลี ซึ่งมองแล้วจาก 8 ทีมที่ผ่านเข้ารอบมานับได้ว่าเป็นหนึ่งในทีมที่มีโอกาสผ่านเข้ารอบต่อไปน้อยที่สุด ต้องมาพบกับบาร์เซโลนา ทีมที่หลายคนยกให้เป็นทีมเต็งแชมป์ในปีนี้

 

ซึ่งเลกแรกพวกเขาก็พ่ายให้กับบาร์ซาที่คัมป์ นูไปก่อนถึง 4-1 แต่ก็กลับมาเอาชนะบาร์ซาในเกมที่ 2 ไปได้ 3-0 คว้าตั๋วเข้ารอบรองชนะเลิศด้วยการชนะอเวย์โกลไป 4-4 ผ่านเข้ารอบตัดเชือกได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1984

 

 

โดยเกมที่สนามฟุตบอล สตาดิโอ โอลิมปิโก ในกรุงโรม เริ่มต้นได้เพียง 5 นาที เควิน สตรูทมัน ชิปบอลสุดสวยให้ เอดิน เซโก วิ่งทะลุกองหลังบาร์ซา เอาบอลลงด้วยเท้าขวา และจิ้มบอลด้วยเท้าซ้ายผ่านตัวผู้รักษาประตูของบาร์ซาขึ้นนำก่อน 1-0

 

กรรมการผู้ตัดสินเป่าจบครึ่งแรกด้วยสกอร์ 1-0 ก่อนที่ครึ่งหลังจะเริ่มต้นไปได้ไม่นาน เอดิน เซโก ก็สร้างปัญหาให้กับบาร์ซาอีกครั้ง ด้วยการลากบอลเข้ากรอบเขตโทษก่อนจะโดน เคราร์ด ปิเก เบียดบอลล้ม และกรรมการเป่าให้เป็นจุดโทษในนาทีที่ 57

 

ซึ่งเป็น ดานิเอเล เด รอสซี ห้องเครื่องพันธ์ุดุที่สกัดเข้าประตูตัวเองในเกมแรก ได้รับโอกาสแก้ตัว ซึ่งเขาก็ไม่พลาดยิงประตูตีตื้นขึ้นมาเป็น 3-4 ในผลสกอร์รวมทั้ง 2 เลก

 

ลูกทีมของ ยูเซบิโอ ดิ ฟรานเชสโก เริ่มมีความหวัง ขณะที่บาร์ซายังคงเน้นเกมรับเพื่อการันตีโอกาสผ่านเข้ารอบรองด้วยสกอร์นี้ แต่แล้วในนาทีที่ 82 ปาฏิหาริย์กรุงโรมก็กลายเป็นจริง เมื่อ อเล็กซานเดอร์ โคลารอฟ เปิดคอนเนอร์จากด้านขวา และเป็นปราการหลังชาวกรีก มาโนลาส ที่กระโดดขึ้นโหม่งตัดบอลเข้าประตูไปอย่างสวยงาม พาทีมกลับขึ้นมาเสมอกัน 4-4 และได้เปรียบที่ประตูอเวย์โกล

 

หลังทดเวลาครบในนาทีที่ 94 กรรมการก็เป่าหมดเวลา ยืนยันปาฏิหาริย์ที่กลายเป็นจริงและเป็นอีกหนึ่งชัยชนะของทีมที่เป็นรองแทบทุกด้าน และเป็นอีกหนึ่งการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรแห่งกรุงโรม

 

โรมากับการสร้างประวัติศาสตร์เป็นหนึ่งใน 3 ทีมที่สามารถคัมแบ็กได้สำเร็จแม้จะโดนนำไป 3 ลูกในเลกแรก

 

 

ในการจับสลากรอบ 8 ทีมสุดท้าย ทุกคนมุ่งเน้นไปที่คู่อย่างเรอัล มาดริดกับยูเวนตุส คู่ชิงในปี 2017 หรือคู่อริร่วมลีกอย่าง ลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ปาฏิหาริย์ ในครั้งนี้กลับมาเกิดขึ้นที่กรุงโรม ที่พลิกจากความพ่ายแพ้ในเกมแรกไปถึง 4-1 กลับมาผ่านเข้ารอบรองได้สำเร็จด้วยการเปิดบ้านชนะไปถึง 3-0

เหตุการณ์นี้นับเป็นครั้งที่ 3 ในรอบน็อกเอาต์ของศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเท่านั้นที่ทีมที่แพ้มากกว่า 3 ลูกสามารถพลิกกลับมาชนะได้ในเกมที่ 2 และผ่านเข้ารอบต่อไป

เดปอร์ติโบ 4-0(5-4) เอซีมิลาน 2003/2004
ครั้งแรกเกิดขึ้นในฤดูกาล 2003/2004 ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย เกมแรก เอซี มิลาน ยักษ์ใหญ่แห่งเซเรียอา อิตาลี เปิดบ้านซานซิโร เอาชนะเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญา ไปถึง 4-1

 

เลกที่ 2 ในบ้านของเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญา ฮาเวียร์ อิรูเรตา ผู้จัดการทีมได้พูดไว้ก่อนเกมว่า “ปาฏิหาริย์มักจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่คุณคาดไม่ถึง” และมันก็เกิดขึ้นจริง เมื่อเกมที่ 2 ทีมจากสเปนที่เปิดบ้านเอาชนะเอซี มิลาน ไปได้ถึง 4-0 ผ่านเข้ารอบด้วยสกอร์รวม 5-4

บาร์เซโลนา 6-1(6-5) ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 2016-2017
ก่อนที่จะบาร์ซาจะมาโดนเล่นงานในวันนี้ พวกเขาเคยทำแบบนี้กับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ทีมยักษ์ใหญ่จากปารีสมาก่อนในฤดูกาล 2016-2017

โดยในเกมแรกปารีสเปิดบ้านเอาชนะบาร์เซโลนาไปก่อนถึง 4-0 หลังจบการแข่งขันหลายฝ่ายยอมรับว่ามาถึงวันที่ยอดทีมที่มักทำผลงานได้ดีในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกมาถึงจุดจบแล้ว  

 

แต่ในเกมที่สอง พวกเขาในวันนั้นที่ยังมีสามประสานสุดโหด ทั้ง ลิโอเนล เมสซี, หลุยส์ ซัวเรซ และเนย์มาร์ ร่วมกันพลิกสถานการณ์พาทีมกลับมาชนะได้อย่างเหลือเชื่อด้วยสกอร์ 6-1 ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์ของการแข่งขัน UEFA ในระดับสโมสรที่สามารถพลิกกลับมาชนะได้ แม้จะมีผลต่างประตูอยู่มากกว่า 4 ลูกขึ้นไป

 

ทำไมโรมาถึงเอาชนะบาร์ซาได้?

 


แน่นอนว่าชัยชนะครั้งนี้ต้องยกเครดิตให้กับความมุ่งมั่นของนักเตะจากกรุงโรมที่ต้องการสร้างปาฏิหาริย์ และพวกเขาก็สามารถทำได้สำเร็จ โดยเฉพาะฟอร์มการเล่นของเอดิน เซโก ที่สร้างความปั่นป่วนให้กับซามูเอล อุมติตี และเคราร์ด ปิเก 2 กองหลังของบาร์เซโลนา

 

แท็กติกของยูเซบิโอ ดิ ฟรานเชสโก เทรนเนอร์โรมา ถูกยกให้เป็นหนึ่งในเบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ โดย ดานิเอเล เด รอสซี ให้สัมภาษณ์หลังเกมเปิดเผยว่า

“ความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นจากยูเซบิโอ ดิ ฟรานเชสโก เขาช่วยให้เราเล่นได้อย่างถูกวิธีในเกมนี้ และเขาก็ทำได้อย่างดีเยี่ยม

“ดิ ฟรานเชสโกคิดค้นแท็กติกนี้ขึ้นมาเมื่อสองวันก่อน เขาจับเราฝึกจนเข้าใจและสร้างปาฏิหาริย์ด้วยแผนนี้”

 

แผนที่ว่านี้ ดิ ฟรานเชสโกเลือกใช้กองหลัง 3 คน และแพ็กกองกลางมากประสบการณ์อย่างเด รอสซี สตรูทมัน และราจา นาอิงโกลัน ส่วนแดนหน้าให้เอดิน เซโก จับคู่กับแพทริก ชีค และเน้นเพรสซิ่งหนักตลอดทั้งเกม

“ผมตัดสินใจให้พวกเราเล่นบอลกว้างขึ้น เพื่อให้เราสามารถเล่นเกมสวนและเกมเร็วได้มากขึ้น แต่สิ่งสำคัญคือปรัชญาที่เปลี่ยนไป”

ขณะที่เอดิน เซโกยอมรับว่า แผนของดิ ฟรานเชสโก ทำให้เขาได้เห็นปัญหาของทีมบาร์เซโลนา

“ผมไม่เคยเห็นบาร์เซโลนาเล่นไม่ออกมาก่อน เรากดดันพวกเขาทั้งเกมตั้งแต่นาทีแรก เกมนี้ผมเล่นง่ายขึ้น เพราะแพทริก ชีค และนาอิงโกลัน อยู่ใกล้ๆ ทำให้เรามีพื้นที่ในการเล่นมากขึ้น และทำให้แยกกองหลังของบาร์ซาออกจากกัน รวมถึงนี่เป็นครั้งแรกที่เราลองเล่นกองหลัง 3 คน และเราทำได้ดีมาก

“พวกเราทุกคนเชื่อมั่น แม้ว่าทุกคนให้โอกาสเราแค่ 5% คืนนี้เราพิสูจน์แล้วว่าเราสามารถเล่นกับใครก็ได้ เพราะบาร์ซาเป็นทีมที่แข็งแกร่ง และเรายิงพวกเขาได้ 3 ประตู ซึ่งจริงๆ แล้วเราอาจยิงได้มากกว่านั้นด้วยซ้ำ”

เช่นเดียวกับ เจมส์ พัลลอตตา ประธานสโมสรโรมา ที่ชื่นชมการแก้ไขสถานการณ์ที่ตามหลังอยู่ถึง 4-1

“ตอนเช้าของวันที่ 10 เมษายน ผมอยู่กับผู้อำนวยการกีฬาของสโมสรและเขาบอกผมถึงสิ่งที่ดิ ฟรานเชสโกวางแผนจะทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งที่เราเคยทำก่อนหน้านี้ และมันก็ได้ผล ดิ ฟรานเชสโกควรได้รับเครดิตจากการวางแผนครั้งนี้ และนักเตะควรได้รับเครดิตจากการทำตามแผนได้อย่างดีเยี่ยม”

 

เกมนี้โรมาสามารถสร้างโอกาสยิงได้ถึง 17 ครั้ง และเข้ากรอบถึง 6 ครั้ง ขณะที่บาร์ซาสามารถสร้างโอกาสได้เพียง 9 ครั้ง และเข้ากรอบ 3 ครั้ง ขณะที่เปอร์เซ็นต์การครองบอลของบาร์ซาน้อยกว่าปกติ อยู่ที่ 57% ซึ่งเจมส์ พัลลอตตามองว่า เกิดจากแผนที่โรมาแพรสซิ่งหนักจนทำให้บาร์ซาไม่สามารถต่อบอลในจังหวะที่เคยเล่นได้ ตรงกับที่เออร์เนสโต บัลเบร์เด กุนซือบาร์เซโลนา ออกมายอมรับหลังเกม

“พวกเขาเพรสเราสูงและดุดันมาก และเราไม่สามารถปรับตัวได้ พวกเขาหยุดเกมของเราได้”

 

แต่ทาง Henry Bushnell นักข่าวฟุตบอลของ Yahoo Sport มองว่า ความล้มเหลวของบาร์ซาครั้งนี้ในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เป็นสิ่งที่หลายฝ่ายคาดการณ์มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เพิ่งมาออกผลในเกมนี้

Photo: www.fcbarcelona.com

ทั้งหมดนั้นเริ่มต้นขึ้นในเช้าอีกวันหลังจากที่บาร์เซโลนาพลิกกลับมาชนะปารีสได้อย่างเหลือเชื่อ แต่ภาพที่ขึ้นพาดหัวหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับ และคนที่ทุกคนพูดถึง กลับไม่ใช่เนย์มาร์ผู้มีส่วนสำคัญในชัยชนะเกมนั้น แต่ทุกคนกลับพูดถึงลิโอเนล เมสซี

“ในบาร์ซามีเพียงนักเตะคนเดียวที่ถูกพูดถึง และนั่นน่าจะเป็นสาเหตุหลักที่ผลักดันให้เนย์มาร์ต้องก้าวออกมาหาเส้นทางของเขาเอง และที่ปาร์ก เดส์ แพร็งค์ส (สนามเหย้าของปารีส แซงต์ แชร์กแมง) ความสำเร็จทั้งหมดต่อจากนี้จะเป็นของเขา” ซิด โลว์  นักข่าวชื่อดังผู้เชี่ยวชาญด้านฟุตบอลสเปนได้วิเคราะห์ถึงสถานการณ์ที่ทำให้เนย์มาร์ตัดสินใจย้ายออกจากถิ่นคัมป์ นู

น้ำผึ้งหยดเดียวในวันนั้น นำไปสู่การแตกสลายของเมสซี เนย์มาร์ ซัวเรซ 3 ประสานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป โดยเป็นเนย์มาร์ที่ตัดสินใจก้าวออกจากเงาความสำเร็จของลิโอเนล เมสซี และไปหาหนทางของตนเองในปารีส ด้วยค่าตัวสถิติโลก 198 ล้านปอนด์

 

การสูญเสียเนย์มาร์ถือเป็นปัญหาใหญ่ของบาร์ซา เนื่องจากเขาเป็นกุญแจสำคัญของความสำเร็จในยุคของเป๊ป กวาร์ดิโอลา และหลุยส์ เอ็นริเก้

แม้ว่าบาร์ซาในฤดูกาลนี้จะโชว์ฟอร์มในลาลีกาได้อย่างดีเยี่ยม โดยหากพวกเขาสามารถชนะ 7 เกมที่เหลือในลาลีกา สเปน พวกเขาจะทำสถิติเป็นทีมแรกที่ไม่แพ้ใครเลยในฤดูกาลเดียวของลีกลาลีกาสเปนยุคใหม่ และชัยชนะอีกเพียงแค่ 1 เกม พวกเขาจะคว้าแชมป์ลาลีกาสเปนในทันที

เออร์เนสโต บัลเบร์เด กุนซือหน้าใหม่ในฤดูกาลนี้เข้ามาเปลี่ยนแปลงบาร์เซโลนาไปอีกขั้น จากทีมที่เน้นเกมรุกที่ตื่นเต้น ปรับให้เป็นทีมที่เน้นเกมรับมากขึ้น และเกมรุกที่ช้าลง รวมถึงสถิติเปอร์เซ็นต์การครองบอลโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 60.8% ต่ำสุดในรอบ 10 ปี ของสโมสร

ผลก็คือเกมรับที่เหนียวแน่นขึ้น จนทำให้บาร์ซาเสียประตูเพียง 16 ลูกจาก 31 เกมในลีก แต่ในเกมรุกพวกเขาหวังพึ่งลิโอเนล เมสซีเป็นหลัก ผลของการปรับเปลี่ยนทีมและการหวังพึ่งเมสซีในเกมรุกเป็นหลักจึงมาออกผลในเลกสองกับโรมาในครั้งนี้

เนื่องจากเมสซีถูกประกบจนไม่มีส่วนร่วมกับเกม ซัวเรซที่เริ่มมีอายุมากขึ้นจนส่งผลให้มีประสิทธิภาพที่ต่ำลง และไม่มีเนย์มาร์มาช่วยสร้างสรรค์เกมรุก ทำให้บาร์ซาขาดแผนบีในการตอบโต้โรมา

 

Photo: Bleacher Report Football

รอบ 8 ทีมสุดท้ายของศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ที่ผ่านมาถือว่าเป็นอีกหนึ่งฤดูกาลที่ทำให้หลายคนชื่นชอบฟุตบอล เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันมักจะเกิดขึ้นในเวลาที่เราคาดไม่ถึงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นลูกจักรยานอากาศของคริสเตียโน โรนัลโด ในเกมที่มาดริดเอาชนะยูเวนตุสไปในเลกแรกถึง 3-0 หรือชัยชนะของลิเวอร์พูลเหนือว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีกในเลกแรก 3-0 และเลกที่สองอีก 2-1 จนมาถึงการพลิกกลับมาคว้าตั๋วเข้ารอบรองชนะเลิศครั้งแรกในรอบ 34 ปีของโรมา ต่างก็สร้างความรู้สึกสนุกและตื่นเต้นให้กับคนที่อดหลับอดนอนเพื่อรับชมฟุตบอลที่แข่งขันกันอยู่อีกทวีปหนึ่งของโลก

แต่สิ่งที่เราเรียนรู้ได้ในวันนี้ แน่นอนคืออย่ายอมแพ้ ไม่ว่าสถานการณ์จะย่ำแย่ขนาดไหน ถ้าคุณลงมือทำสิ่งที่ต้องทำ พร้อมกับความเชื่อมั่นในชัยชนะ การล้มทีมอย่างบาร์เซโลนา ทั้งที่ตามหลังอยู่ถึง 3 ประตู ก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินความเป็นจริงแต่อย่างใด ใช่ไหม?

 

 

Photo: AFP

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising