×

น้ำมันทะลุ 120 ดอลลาร์ กระทบหุ้นไทยอย่างไร กลุ่มไหนควรเลี่ยงลงทุน

09.03.2022
  • LOADING...
ราคาน้ำมัน

ราคาน้ำมันดิบโลกอย่าง WTI พุ่งขึ้นแตะระดับ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 หรือเมื่อ 14 ปีที่แล้ว โดย 1 ปีที่ผ่านมาราคาน้ำมันได้เพิ่มขึ้นมาแล้วประมาณ 95% 

 

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลให้เริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลก โดยเฉพาะในฝั่งต้นทุนของบริษัทต่างๆ ที่จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย 

 

สำหรับผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่า ขณะนี้อาจจะยังตอบได้ยากว่ากำไรโดยภาพรวมของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มขึ้นหรือลดลง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับค่าเฉลี่ยของราคาน้ำมันในปีนี้ 

 

อย่างไรก็ตาม การที่ราคาน้ำมันขึ้นมายืนเหนือระดับ 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดีต่อภาคการผลิตแน่นอน เพราะการผลักต้นทุนที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิตไม่สามารถทำได้เร็วเพียงพอ และโดยภาพรวมก็ไม่น่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยด้วย 

 

“ฝ่ายวิจัยจะมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้ง และน่าจะออกเป็นบทวิจัยในช่วงปลายเดือนนี้ ในเบื้องต้นเชื่อว่าราคาน้ำมันในครึ่งปีแรกมีโอกาสจะยืนสูงเกิน 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล” 

 

ด้วยราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นมานี้ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงานจะยังลงทุนได้อยู่ แม้ราคาน้ำมันจะเริ่มปรับขึ้นด้วยอัตราเร่งที่ลดลง แต่เชื่อว่าราคาจะยังอยู่ในระดับสูง แต่ต้องรอให้สถานการณ์เรื่องของสงครามเริ่มคลี่คลาย เพราะโดยปกติแล้วตลาดมักจะไม่ชอบความไม่แน่นอน ส่วนหุ้นที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศนักลงทุนคงต้องมองข้ามครึ่งปีแรกไปก่อน และเป็นการลงทุนเพื่อหวังกำไรในระยะกลางถึงยาว 

 

ด้าน จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุน สายพัฒนาธุรกิจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยูโอบี (ประเทศไทย) ประเมินว่า โดยรวมแล้วการปรับขึ้นของราคาน้ำมันน่าจะส่งผลดีต่อกำไรในภาพรวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมากกว่า ด้วยหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีขนาดใหญ่ 

 

“รายได้ของกลุ่มพลังงานน่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 40-50% ซึ่งน่าจะสามารถครอบคลุมผลกระทบด้านลบต่อต้นทุนของบริษัทอื่นๆ ได้หมด” 

 

ส่วนผลกระทบต่อบริษัทอื่นๆ ในแง่ของต้นทุนพลังงานและค่าขนส่ง โดยทั่วไปแล้วจะอยู่ที่ราว 10-20% เพราะฉะนั้นแม้ราคาน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 100% จากประมาณ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล มาเป็น 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะกระทบต่ออัตรากำไรของบริษัทต่างๆ ประมาณ 2% ซึ่งหากเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรต่ำ เช่น ค้าปลีก ก็อาจจะได้รับผลกระทบมากกว่า ส่วนภาคอุตสาหกรรมที่มีอัตรากำไรสูงอาจจะไม่มีปัญหามากนัก 

 

ขณะที่ภาคบริการ เช่น ธนาคาร โรงพยาบาล จะได้รับผลกระทบในแบบที่ต่างออกไป โดยธุรกิจเหล่านี้ต้นทุนจากราคาน้ำมันไม่มากนัก อาจจะไม่ถึง 10% แต่ปัญหาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะไปกระทบต่อ GDP ทำให้การบริโภคของผู้คนลดลงอัตโนมัติ

 

“เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น 1% จากราคาน้ำมัน ก็จะทำให้ GDP ลดลงประมาณ 1% ขณะที่การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันรอบนี้น่าจะกระทบต่อการบริโภคราว 2% เพราะฉะนั้นใครที่เงินเดือนขึ้นไม่ถึง 2% ก็จะใช้จ่ายลดลงโดยอัตโนมัติ” 

 

อย่างไรก็ตาม กลุ่มธนาคารอาจจะได้อานิสงส์จากการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต ส่วนการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้บริโภค หากเป็นธุรกิจน้ำมันโดยตรงมักจะสามารถส่งผ่านต้นทุนไปได้แทบทั้งหมด แต่อาจจะมีนโยบายรัฐเข้ามาช่วยเหลือผู้บริโภคบางส่วน 

 

ส่วนธุรกิจในกลุ่มพลาสติกและปิโตรเคมีซึ่งมักจะตกลงราคากันล่วงหน้า 3-6 เดือน ทำให้ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะเป็นลักษณะของการแบกรับคนละครึ่งกับผู้บริโภค ขณะที่ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป อย่างเช่น ข้าวราดแกง มักจะปรับราคาได้ยากกว่า แต่ผลกระทบจะออกมาในเชิงของคุณภาพมากกว่า เช่น ปริมาณที่ลดลง 

 

หลังสงครามคลี่คลายราคาน้ำมันจะปรับลดลง แต่จะเป็นการลดลงสู่จุดสมดุลใหม่ ซึ่งในระยะสั้นอาจจะไม่ต่ำกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนหุ้นไทยในปีนี้จะวิ่งขึ้นได้หรือไม่คงจะขึ้นอยู่กับเม็ดเงินต่างชาติเป็นตัวแปรสำคัญว่าจะยังไหลเข้าไทยได้ต่อหรือไม่ ซึ่งก็ยังมีโอกาสจากสัญญาณที่เห็นก่อนหน้านี้

 

ด้าน นิโคลัส โคลัส ผู้ร่วมก่อตั้ง DataTrek Research ระบุว่า “หลักการง่ายๆ อย่างหนึ่งที่เรียนรู้จากอุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงปี 1990 คือถ้าหากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น 100% ภายในช่วงเวลา 1 ปี วิกฤตเศรษฐกิจอาจกำลังจะมา”

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องจับตาดูคือ ราคาน้ำมันจะยืนอยู่ในระดับสูงในระดับ 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ต่อเนื่องแค่ไหน “แค่ 1 วัน หรือ 2 วัน ยังโอเค แต่ถ้าสูงติดๆ กันหลายสัปดาห์คงไม่ดีแน่” โคลัสกล่าว

 

ในมุมกลับกัน นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าสถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างไปจากทศวรรษที่ 70 ค่อนข้างมาก (วิกฤตการณ์ราคาน้ำมัน) น้ำมันมีส่วนใน GDP และการบริโภคน้อยลงมาก ขณะที่นักวิเคราะห์ของ JPMorgan มากกว่าตลาดหุ้นยังมีโอกาสจะปรับขึ้นต่อได้ แม้ราคาน้ำมันจะสูงในระดับ 130 – 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล 


อ่านเพิ่มเติม: 

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X