วันนี้ (27 สิงหาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในวาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) บริหารจัดการระบบตั๋วร่วม โดยมี ไชยา พรมหมา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ภายหลังจากการลงมติเป็นรายมาตราในวาระที่ 2 ได้มีการเรียกให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลงมติในวาระที่ 3 เพื่อเป็นการรับรอง ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการระบบตั๋วร่วม โดยมีผู้มาลงมติ ทั้งหมด 390 เสียง เห็นด้วย 383 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนน 5 เสียง
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มติ เห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .. และมีข้อสังเกต เนื่องจากคณะกรรมาธิการได้การระบุข้อสังเกตไว้ในรายงานเพื่อให้สภาฯ ได้พิจารณาลงมติว่าจะเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการหรือไม่โดยไม่มีการอภิปรายซึ่งหากเห็นด้วยก็จะส่งรายงานและข้อสังเกตไปยังคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทราบและดำเนินการต่อไป
อย่างไรก็ตาม มีผู้มาลงมติ ทั้งหมด 389 เสียง เห็นด้วย 386 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนน 1 เสียง ซึ่งที่ประชุมได้เห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการ โดยจากนี้จะนำร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว นำส่งเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกวุฒิสภาต่อไป
อย่างไรก็ตาม สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยได้ขอสงวนความเห็น และได้อภิปรายในมาตรา 35 และ 37 ที่เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน เงินที่ต้องนำส่งคืนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และภาระที่เกี่ยวข้อง ก่อนอภิปรายถึงจุดยืนของพรรคประชาชนที่มีต่อร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม
สุรเชษฐ์กล่าวว่า หากไม่นับรวมมาตรา 35 และ 37 ที่เป็นการล้วงกระเป๋าของ รฟม. มาเข้ากองทุนแบบไม่ถูกต้อง ซึ่งเป็นการไปโยงกับร่าง พ.ร.บ.รฟม. ก็นับว่ากรรมาธิการชุดนี้สนับสนุนร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ และในส่วนของพรรคประชาชนก็จะลงมติเห็นชอบ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะในมาตรานี้ก็ตาม และขอให้รัฐบาลดำเนินงานนโยบายที่เกี่ยวกับค่าโดยสารรถไฟฟ้า รวมถึงค่าใช้จ่ายเงินกองทุนให้เป็นไปตามกฎหมายฉบับนี้อย่างเคร่งครัด
ตนขอย้ำว่า ตั๋วร่วมไม่เท่ากับค่าโดยสารร่วม นี่คือประเด็นที่กรรมาธิการทุกคนร่วมกันผลักดันได้สำเร็จ โดยเปลี่ยนตั้งแต่คำนิยามจากร่างกฎหมายฉบับเดิมที่เริ่มร่างขึ้นจากรัฐบาลก่อนหน้า เพื่อทำให้กฎหมายฉบับนี้มีความสมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่มีแค่นิยามคำว่าตั๋วร่วมแต่ไม่มีนิยามคำว่าค่าโดยสารร่วมรวมอยู่ด้วย
สุรเชษฐ์กล่าวต่อไปว่าการแยกนิยามเช่นนี้จะทำให้การคิดราคาค่าโดยสารในอนาคต ต้องคิดรวมค่ารถเมล์และรถไฟฟ้า และบูรณาการโลกสองใบนี้เข้าด้วยกัน ไม่ได้ปล่อยให้เป็นโลกคู่ขนานแบบในปัจจุบัน เพื่อทำให้เป็นขนส่งสาธารณะเพื่อทุกคน ให้เส้นเลือดใหญ่ทำงานกับเส้นเลือดฝอย ไม่ใช่อุดหนุนแต่เส้นเลือดใหญ่แต่ละเลยเส้นเลือดฝอย
แม้พรรคประชาชนอาจจะเห็นต่างในมาตราที่ 35 และ 37 แต่มาตรานี้ก็เป็นเพียงประเด็นย่อยในการล้วงกระเป๋าจาก รฟม. มาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ภาพที่ใหญ่กว่าก็คือวาระ 3 ซึ่งตนและพรรคประชาชนยินดีจะช่วยลงมติให้ร่าง พ.ร.บ.การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมผ่านสภา
สุรเชษฐ์กล่าวทิ้งท้ายว่าการลงมติเห็นชอบในวาระ 3 ไม่ใช่เพื่อนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แต่เพื่อตั๋วร่วมบัตรใบเดียวที่ขึ้นได้ทั้งรถเมล์และรถไฟฟ้า เพื่อค่าโดยสารร่วม หรือการคิดค่าโดยสารรถเมล์ร่วมกับรถไฟรถไฟฟ้าจากจุดต้นทางไปยังปลายทาง ไม่ใช่แค่จากสถานีรถไฟฟ้าหนึ่งไปอีกสถานีหนึ่ง เรื่องค่าโดยสารร่วมตาม พ.ร.บ. นี้ใหญ่กว่านโยบาย 20 บาทมาก และมีความสมเหตุสมผลมากกว่า ส่วนเรื่องตั๋วร่วมคือบัตรใบเดียวไม่ต้องถือบัตรหลายใบ และไม่ต้องยุ่งยากกับการลงทะเบียนเพื่อผูกบัตรหลายใบผ่านแอปพลิเคชันทางรัฐ