ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี Hang Seng ของฮ่องกง ดิ่งลงอย่างหนักกว่า 6% จากความกังวลต่อท่าทีและนโยบายของรัฐบาลจีนภายใต้การนำของ สีจิ้นผิง ซึ่งได้รับการต่ออำนาจในฐานะประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ 3
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดกังวลและมีมุมมองเชิงลบ ได้แก่ นโยบาย Zero-COVID ที่ยังคงถูกใช้ต่อไป รวมทั้งความกังวลต่อบริษัทเทคโนโลยีของจีนที่อาจจะยังถูกควบคุมในหลายๆ ด้านต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เกิดอะไรขึ้นกับ ‘ฮ่องกง’ ทำไมสถานะ ‘ศูนย์กลางทางการเงินของเอเชีย’ กำลังถูกสั่นคลอน และอาจกลายเป็นแค่อดีต
- สรุป 5 ประเด็นเศรษฐกิจสำคัญ จากสุนทรพจน์ ‘สีจิ้นผิง’ เปิดประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน
- ไขคำตอบ…ทำไมหุ้นเวียดนามดิ่งเกือบจะหนักสุดของโลก ล้างภาพดาวรุ่งแห่งเอเชีย
หลังจากที่ดัชนี Hang Seng ทะลุลงไปทำจุดต่ำสุดใหม่นับแต่ต้นปี 2009 ล่าสุดดัชนี Hang Seng สามารถดีดกลับมาได้เกือบ 2% ในวันนี้ โดยประเด็นสำคัญที่เข้ามาสนับสนุนคือ การที่ สีจิ้นผิง ออกมาตอกย้ำถึงเป้าหมายระยะยาวของจีน
Bloomberg รายงานว่า จากการเปิดประชุมพรรคคอมมิวนิสต์จีนเมื่อสัปดาห์ก่อน สีจิ้นผิง ย้ำถึงเป้าหมายที่จะยกระดับสังคมจีนเป็นสังคมสมัยใหม่ภายในปี 2035 และในปี 2049 ซึ่งเป็นปีที่ครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (People’s Republic of China) เขาต้องการที่จะเห็นจีนเป็นผู้นำของโลกด้วยความเข้มแข็งจากภายในและการมีอิทธิพลในระดับนานาชาติ
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของ สีจิ้นผิง ยังคงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม โดยเฉพาะความพยายามที่จะผลักดันเศรษฐกิจไปพร้อมกับการใช้นโยบาย Zero-COVID หรือตั้งเป้าที่ให้ทำให้จีนสามารถพึ่งพาตนเองในทางเทคโนโลยี ในขณะที่มูลค่าของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีหายไป 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ หรือแม้แต่ความพยายามที่จะเปิดประเทศมากขึ้น แต่กลับจำกัดการแสดงความเห็นและกระแสเงินลงทุน และประเด็นที่ดูเหมือนจะใหญ่ที่สุดคือ ความขัดแย้งกับไต้หวันที่อาจนำไปสู่สงครามในอนาคต
หลิวตงสู ผู้ช่วยศาสตราจารย์ของ City University of Hong Kong กล่าวว่า “ในอดีตหากมีประเด็นอะไรที่ขัดแย้งกับการพัฒนาเศรษฐกิจ จีนมักจะหลีกเลี่ยงที่จะทำสิ่งนั้น แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าจีนจะยอมแลกการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของนักลงทุนกับการขยายเขตแดน”
ด้าน รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศและฟิวเจอร์ส บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่หนุนให้ดัชนี Hang Seng ฟื้นตัวในวันนี้คือ การที่หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลจีนออกมาส่งสัญญาณว่าจะยังสนับสนุนตลาดหุ้นและการลงทุนของบริษัทจีน โดยแบ่งได้เป็น 5 ประเด็นหลัก คือ
- จีนจะยังให้ความสำคัญกับการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ
- ขยายช่องทางให้บริษัทจีนสามารถไปจดทะเบียนต่างประเทศได้
- ให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับตลาดหุ้นฮ่องกง
- สร้างเสถียรภาพให้กับเงินหยวน
- สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนด้วยการพัฒนาในด้านต่างๆ เช่น การศึกษา และสุขภาพ
“คำถามสำคัญที่ตอบยากคือ การฟื้นตัวของหุ้นฮ่องกงในรอบนี้จะเป็นแค่ชั่วคราวหรือไม่ เพราะช่วงต้นปีรัฐบาลจีนก็เคยออกมาพูดว่ายังคงสนับสนุนตลาดหุ้น แต่หลังจากนั้นหุ้นจีนและฮ่องกงก็ยังคงลดลงต่อ”
หากมองในมุมบวก สถิติของหุ้นฮ่องกงหลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนช่วง 2 ครั้งที่ผ่านมา คือ ครั้งที่ 18 ดัชนีหุ้นเพิ่มขึ้น 6% หลังการประชุม 1 เดือน และเพิ่มขึ้น 25% หลังการประชุม 3 เดือน ส่วนการประชุมครั้งที่ 19 หุ้นขึ้น 4 และ 11% หลังการประชุม 1 เดือน และ 3 เดือน ตามลำดับ
“แม้หุ้นของบริษัทจีนในฮ่องกงจะลดลงมาเยอะ โดยเฉพาะหุ้นเทคขนาดใหญ่ แต่จะเห็นว่าบริษัทขนาดกลางและเล็ก เช่น หุ้นกลุ่ม STAR50 เป็นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นได้ และมีแนวโน้มเชิงบวกจากแผนยุทธศาสตร์จีนในระยะยาว”
ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 3 ที่เพิ่มขึ้น 3.9% ก็ยังออกมาดีกว่าคาด ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการบริษัทจีนก็ยังเติบโตได้ ส่วนนโยบาย Zero-COVID ที่สร้างความกังวลให้กับตลาดที่ผ่านมาก็เริ่มเห็นการผ่อนคลายมากขึ้น อย่างการลดระยะเวลากักตัวจาก 10 วัน เหลือ 7 วัน
ในมุมของความเสี่ยง นโยบายด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะประเด็นไต้หวัน ซึ่งจะมีสหรัฐฯ เข้ามาเกี่ยวข้อง หากเกิดความขัดแย้งมากขึ้นจะเป็นจุดที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
ส่วนประเด็นสำคัญที่ต้องตามดูคือ ความชัดเจนของนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีการประชุมในเดือนธันวาคม 2565 และมีนาคม 2566
อ้างอิง: