×

เฮนเดอร์สัน vs. อลิสสัน ภาพสะท้อนสปิริตแตกร้าวภายในทีมลิเวอร์พูล (และคนที่น่าห่วงที่สุด…)

05.04.2023
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 MIN READ
  • ในการถ่ายทอดสดกล้องได้ตัดภาพมาให้เห็นเฮนเดอร์สัน ซึ่งโดยปกติเป็นผู้นำที่คอยกระตุ้นทุกคนในทีมและพยายามยกสปิริตของทีม แต่ครั้งนี้ได้เดินมาโวยใส่อลิสสันอย่างหนัก ซึ่งคาดว่าเกิดจากการที่ผู้รักษาประตูชาวบราซิลไม่สื่อสารกับ โจเอล มาทิป ปราการหลังของทีม
  • แต่การมีปากเสียงกันระหว่างเฮนเดอร์สันกับอลิสสัน ซึ่งความจริงอาจไม่มีอะไรก็ได้ เป็นแค่อารมณ์ระหว่างเกม ก็อาจไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับอารมณ์ของผู้ที่เป็นเจ้านายอย่าง เจอร์เกน คล็อปป์

ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา (4 เมษายน) ระหว่างเชลซีและลิเวอร์พูล จบลงด้วยการเสมอกันไปแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่นของสองทีมที่กำลังอยู่ในสถานการณ์วิกฤต

 

แต่ในภาพใหญ่แล้วแม้เชลซีจะยังมีอาการสะเปะสะปะอยู่ แต่ทีมที่ลงสนามภายใต้การนำของ บรูโน ซัลตอร์ โค้ชที่รับหน้าที่คุมทีมเป็นการชั่วคราวหลัง เกรแฮม พอตเตอร์ ถูกปลดจากตำแหน่งดูจะเป็นฝ่ายที่สมควรได้รับชัยชนะมากกว่าอย่างชัดเจน จากโอกาสที่มีมากมายตลอดทั้งเกม รวมถึง 2 ประตูที่ส่งบอลเข้าไปตุงตาข่ายได้แต่ VAR ริบคืนทั้งสองลูก

 

หนึ่งในโอกาสของเกมที่กลายเป็นทอล์กกิ้งพอยต์หลังเกมจบคือโอกาสที่ ชูเอา เฟลิกซ์ ได้หวดหน้ากรอบเขตโทษซึ่งบอลเหินข้ามคานออกไปอย่างน่าเสียดาย

 

แต่สิ่งที่เป็นที่พูดถึงกันนั้นไม่ใช่การพลาดโอกาสของเฟลิกซ์ แต่คือการปะทะคารมกันอย่างเผ็ดร้อนระหว่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน กัปตันทีมลิเวอร์พูลกับ อลิสสัน เบ็คเกอร์ ผู้รักษาประตูมือหนึ่งของทีม

 

ในการถ่ายทอดสดกล้องได้ตัดภาพมาให้เห็นเฮนเดอร์สัน ซึ่งโดยปกติเป็นผู้นำที่คอยกระตุ้นทุกคนในทีมและพยายามยกสปิริตของทีม แต่ครั้งนี้ได้เดินมาโวยใส่อลิสสัน ซึ่งคาดว่าเกิดจากการที่ผู้รักษาประตูชาวบราซิลไม่สื่อสารกับ โจเอล มาทิป ปราการหลังของทีมที่พยายามวิ่งถอยหลังกลับมาเพื่อโหม่งสกัดลูกเปิดบอลยาวที่กำลังจะมาถึงเฟลิกซ์

 

มาทิปกลับมาทันบอลแต่ไม่มีหลักพอที่จะโหม่งสกัดได้ดี บอลจึงมาตกตรงหน้าดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส เพียงแต่บุญรักษาลิเวอร์พูลที่เฟลิกซ์เองก็ปักหลักวางเท้ายิงได้ไม่ดีพอเช่นกัน

 

 

สิ่งที่น่าสนใจคือเฮนเดอร์สันไม่ได้โวยธรรมดา แต่เป็นการโวยอย่างหนัก และอลิสสันเองก็ตอบโต้ด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัวพอกัน

 

ต่างฝ่ายต่างมีจุดยืนของตัวเองในจังหวะนี้ จนร้อนถึงมาทิปที่ต้องปรี่เข้ามาแยกย้ายทั้งสองออกจากกัน

 

ฉากแบบนี้ในเกมฟุตบอลไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกตินัก เพราะเกมฟุตบอลอาชีพเป็นเกมที่การแข่งขันเข้มข้น ร้อนแรง เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกและอะดรีนาลีนที่หลั่งทั่วร่าง ยิ่งทีมอยู่ในช่วงที่ผลงานเลวร้ายแล้ว ความขุ่นมัวในเลือดลมมันยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก

 

สจวร์ต เพียร์ซ อดีตนักเตะทีมชาติอังกฤษมองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากความหงุดหงิดกันเองของนักเตะทีมลิเวอร์พูล โดยเฉพาะเฮนเดอร์สันในฐานะกัปตันทีมที่พยายามจะหาทางกระตุ้นให้ทีมกลับมาเล่นในระดับมาตรฐานของตัวเองให้ได้ และความขุ่นมัวของกัปตันหงส์แดงก็มีมาตั้งแต่เกมที่พ่ายต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในวันเสาร์ที่ผ่านมา (1 เมษายน)

 

อารมณ์ที่ติดค้างมาทำให้ก่อนหน้าที่จะฉะกับอลิสสัน เฮนเดอร์สันก็มีจังหวะตวาดใส่มาทิปไปแล้วครั้งหนึ่งในช่วงครึ่งแรกของเกมกับเชลซี เมื่อกองหลังวัย 32 ปีจ่ายบอลช้าเกินไปทั้งๆ ที่เขาขยับออกมาหาตำแหน่งรับบอลได้ดีแล้วทางฝั่งขวา

 

ในขณะที่ แซม แมตเทอร์เฟซ แห่งสถานี talkSPORT ซึ่งบรรยายเกมร่วมกับเพียร์ซ มองเหตุการณ์นี้ว่าเป็นการแตกคอกันระหว่างอลิสสันกับเฮนเดอร์สันจริงๆ ขณะที่ Telegraph รายงานว่าทั้งคู่ยังมีปากเสียงกันต่อหลังจบเกมไปแล้ว

 

สำหรับทีมที่มีทีมสปิริตเป็นที่ตั้ง ต่อสู้เพื่อกันและกัน ไม่เคยยอมแพ้ใคร และจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งสำคัญไปอีก จนกวาดแชมป์ได้ทุกรายการตั้งแต่พรีเมียร์ลีก ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ไปจนถึงแชมป์สโมสรโลก แชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ, แชมป์ลีกคัพ และแชมป์เอฟเอคัพอย่างลิเวอร์พูล ภาพการปะทะคารมกันเองแบบนี้เป็นภาพที่ชวนหัวใจสลาย

 

โดยเฉพาะมันเกิดขึ้นในยามที่ทีมควรจะรวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อหาทางกลับมาทำผลงานที่ดีให้ได้

 

 

สถานการณ์ในเวลานี้ลิเวอร์พูลแทบไม่เหลือความหวังสำหรับการทำอันดับติด Top 4 เพื่อไปยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เมื่อระยะห่างระหว่างพวกเขากับ 3 ทีมที่มีโอกาสลุ้นอย่างนิวคาสเซิล, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ห่างกันมากเกินไป

 

เป้าต่ำลงมาอย่างยูฟ่ายูโรปาลีกเองก็อาจเป็นเรื่องที่ยาก เพราะไบรท์ตันก็ทำผลงานได้ดี และอย่างน้อยก็สม่ำเสมอกว่าพวกเขา

 

ทีมที่เคยต่อสู้จนสุดทางลุ้น 4 แชมป์ในฤดูกาลที่แล้ว ตอนนี้แพ้ไปแล้ว 9 นัดในลีก พวกเขาอยู่ในอันดับที่ 8 และสิ่งที่ทุกคนอยากเห็นมากที่สุดอาจเป็นการที่ฤดูกาลแห่งหายนะนี้จบลงโดยเร็วที่สุด

 

แต่การมีปากเสียงกันระหว่างเฮนเดอร์สันกับอลิสสัน – ซึ่งความจริงอาจไม่มีอะไรก็ได้ เป็นแค่อารมณ์ระหว่างเกม – ก็อาจไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับอารมณ์ของผู้ที่เป็นเจ้านายอย่าง เจอร์เกน คล็อปป์

 

คล็อปป์ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมด้วยความรู้สึกติดลบอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อถูกถามถึงเรื่องการทำอันดับลุ้น Top 4 “ผมไม่รู้ว่าจะมีโอกาสไหม ถ้าจะมีโอกาสเราก็ต้องชนะเกือบทุกนัดที่เหลือ และทีมอื่นๆ ที่อยู่เหนือเราก็ต้องแพ้หลายนัด ทุกอย่างมันไม่ได้อยู่ในมือเราแล้ว ดังนั้นผมคงพูดอะไรไม่ได้

 

“แต่มันก็ไม่สำคัญ ถ้าเราจะไม่จบที่ 4 ผมก็อยากให้เราจบที่ 5 ถ้าเราไม่ได้ที่ 5 ผมก็อยากได้ที่ 6 ซึ่งจะทำให้ได้แบบนั้นเราก็ต้องชนะในเกมให้ได้ก่อน แต่ตอนนี้ผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเราอยู่ที่เท่าไร? ที่ 8 เหรอ? หรือที่ 7 หรือที่ 9 ผมไม่รู้เลย มันดูไม่น่าสนใจอีกเลย”

 

ปัญหาของลิเวอร์พูลตลอดฤดูกาลที่ผ่านมาต้องบอกว่าหนักหนาสาหัสอย่างยิ่ง ไม่เพียงแค่ปัญหาอาการบาดเจ็บผู้เล่นมากมาย แต่เรื่องใหญ่ที่สุดอาจเป็นเรื่องของการที่นักเตะพากันฟอร์มตกทั้งทีมโดยไม่ได้นัดหมาย ซึ่งอาจเป็นผลกระทบจากการที่พยายามไล่ล่า 4 แชมป์จนเหมือนเผาเทียนทั้งโคนทั้งปลาย ซึ่งสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย

 

คล็อปป์พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหาทางพาทีมกลับมาให้ได้ ซึ่งก็มีหลายครั้งหลายช่วงที่เหมือนจะหาทางแก้ปัญหาได้แล้ว แต่ทุกครั้งที่เหมือนจะกลับมาได้ – รวมถึงในครั้งล่าสุดที่ถล่มแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขาดลอยถึง 7-0 – มันก็จะต้องมีการสะดุดต่อเนื่อง

 

จนในเวลานี้นายใหญ่ชาวเยอรมนีเองคล้ายยกมือสารภาพแล้วว่า เขาไม่รู้แล้วว่าปัญหาของทีมอยู่ที่ไหน

 

และไม่รู้ด้วยว่าจะหาทางแก้ไขทุกอย่างได้อย่างไร

 

 

ที่ผ่านมาทุกฝ่ายเชื่อว่าคล็อปป์จะหาทางประคับประคองทีมไปจนจบฤดูกาล อาจจะพาทีมกลับมาติด Top 4 เพื่อไปแชมเปียนส์ลีก แล้วจะเข้าสู่โหมดของการ ‘Rebuild’ หรือการสร้างทีมลิเวอร์พูลชุดใหม่ของเขาอีกครั้ง ท่ามกลางชื่อของสตาร์มากมายที่เข้ามาเชื่อมโยงกับการย้ายมาแอนฟิลด์

 

แต่ตอนนี้ ‘ภาษากาย’ ของคล็อปป์ทำให้หลายคนเริ่มเป็นกังวล กับสีหน้าที่เหมือนช็อกไม่รู้จะพูดอย่างไรในสนาม เช่นเดียวกับการที่ออกมายอมรับก่อนเกมกับเชลซีในทำนองว่า “ถ้าไม่ได้บุญเก่าเขาก็คงไม่รอดเหมือนกัน” 

 

คล็อปป์จะยังเหลือแรงใจที่จะหาทางพาทีมกลับมาอีกสักครั้งได้ไหม? อาจเป็นคำถามที่น้อยคนจะคิดถึงมาก่อน แต่นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปอาจจะกลายเป็นคำถามที่มีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ในฤดูกาลสุดท้ายของเขากับดอร์ทมุนด์ ทีมเองก็เคยเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายแบบเดียวกับที่ลิเวอร์พูลเจอ (หรืออาจจะแย่กว่าด้วย) และนั่นทำให้คล็อปป์ตัดสินใจที่จะขออำลาทีมเองเมื่อจบฤดูกาล ซึ่งนั่นกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ดอร์ทมุนด์กลับมาทำผลงานได้ดีอีกครั้ง

 

หากลิเวอร์พูลยังเป็นแบบนี้ต่อไป สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกัน

 

อยู่ที่ใจของคล็อปป์แล้วว่าเขายังเหลือแรงอยู่แค่ไหน

 

อ้างอิง

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising