×

มีอะไรเที่ยวที่ ‘มณฑลเหอหนาน’ จุดกำเนิดประวัติศาสตร์จีนนับพันปี

09.03.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins read
  • ดินแดนเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์จีนนับพันปี และเปี่ยมไปด้วยศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า โดย 4 ใน 8 เมืองโบราณของประเทศจีนนั้นตั้งอยู่ในมณฑลเหอหนานแห่งนี้
  • โบราณสถานแห่งอินซวี ตั้งอยู่ที่เมืองอันหยาง เมืองหลวงแห่งสุดท้ายของราชวงศ์ซาง เป็นมรดกโลกขององค์การ UNESCO เมืองหลวงเก่าแก่ซึ่งเกือบจะสูญหายแห่งนี้ถือเป็นหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นสำคัญ ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปในยุคทองของอารยธรรมจีนยุคสำริด
  • เมืองลั่วหยาง เคยเป็นเมืองหลวงของหลายราชวงศ์ ที่นี่จึงมีร่องรอยของประวัติศาสตร์จีนที่สำคัญในหลายยุคสมัย และเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์จีนมากถึงกว่าร้อยพระองค์

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการจัดสัมมนาส่งเสริมการท่องเที่ยวในหัวข้อ ‘Henan – Where China Began’ ซึ่งเป็นความพยายามของการท่องเที่ยวมณฑลเหอหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ต้องการจะชักชวนให้นักท่องเที่ยวชาวไทยได้ไปเปิดประสบการณ์ สำหรับหลายๆ คนที่ยังไม่คุ้นชื่อกับมณฑลดังกล่าว อาจจะนึกไม่ออกว่ามณฑลแห่งนี้มีอะไรชวนให้ออกเดินทางไปท่องเที่ยว รู้ไหมว่าเหอหนานนั้นมีความน่าสนใจด้วยเป็นแหล่งประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยมรดกโลกของจีน ซึ่งมีความเป็นมานับกว่าพันปีเลยทีเดียว มณฑลแห่งนี้จะมีสถานที่อะไรน่าเยี่ยมชมบ้าง THE STANDARD ขอพาคุณไปสำรวจ

 

เมืองโบราณทั้ง 4 ดินแดนเก่าแก่ทรงคุณค่า

มณฑลเหอหนาน (Henan) ตั้งอยู่ทางตอนกลางเยื้องไปด้านตะวันออกของประเทศ บริเวณส่วนล่างของ แม่น้ำเหลือง หรือแม่น้ำฮวงโห ซึ่งไหลผ่านเป็นระยะทาง 700 กว่ากิโลเมตร ถือเป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่แห่งหนึ่งของจีน ที่มีประวัติศาสตร์นานนับกว่าพันปี และเปี่ยมไปด้วยศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า โดย 4 ใน 8 เมืองโบราณของประเทศจีนนั้นตั้งอยู่ในมณฑลเหอหนานแห่งนี้ ประกอบด้วย เมืองเจิ้งโจว (Zhengzhou), เมืองอันหยาง (Anyang), เมืองลั่วหยาง (Luoyang) และเมืองไคฟง (Kaifeng) ทั้ง 4 เมืองโบราณดังกล่าวถือเป็นแลนด์มาร์กสำคัญ สำหรับนักท่องเที่ยวผู้สนใจด้านประวัติศาสตร์ 

 

1. เมืองเจิ้งโจว

 

 

เจิ้งโจวเป็นเมืองเอกของมณฑลเหอหนาน และเป็นเมืองที่ได้รับความสนใจจากบรรดานักท่องเที่ยวมากที่สุด เมืองนี้ที่ถูกขนานนามเรียกว่า ‘พิพิธภัณฑ์แห่งเจิ้งโจว’ ด้วยเป็นศูนย์รวมของโบราณล้ำค่ากว่า 130,000 ชิ้น เจิ้งโจวเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ซาง (Shang) ที่เรืองอำนาจอยู่ในช่วงราว 1600-1027 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นราชวงศ์ที่สองที่ได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศจีน เจิ้งโจวเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรมจีนที่มีประวัติศาสตร์ อันยาวนานมากกว่าสามพันปี ปัจจุบันเมืองนี้มีประชากรมากกว่า 6 ล้านคน มีสถานีรถไฟสายสำคัญ คือสายปักกิ่ง – กวางโจว เจิ้งโจวจึงเป็นแหล่งเชื่อมต่อไปสู่สถานที่ท่องเที่ยวในบริเวณใกล้เคียงรวมถึงวัดเส้าหลิน และถ้ำหลงเหมิน อันมีชื่อเสียง

 

 

2. เมืองอันหยาง

 

 

เมืองโบราณแห่งนี้เป็นที่ตั้งของโบราณสถานที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดของจีน คือ โบราณสถานแห่งอินซวี (Yinxu: The Yin Ruins at Anyang) เมืองหลวงแห่งสุดท้ายของราชวงศ์ซาง ที่ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2442 และได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกขององค์การ UNESCO เมื่อปี พ.ศ. 2549มืองหลวงเก่าแก่ซึ่งเกือบจะสูญหายแห่งนี้ถือเป็นหลักฐานทางโบราณคดีชิ้นสำคัญ ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปในยุคทองของอารยธรรมจีนยุคสำริด มีสุสานหลวงและพระราชวังที่ถือเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมจีน ซึ่งในอาณาบริเวณ 24 ตารางกิโลเมตรนั้นขุดพบพระราชวังโบราณมากกว่า 50 แห่ง นับได้ว่าเป็นเมืองแห่งอารยธรรมจีนโบราณที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง   

 

 

3. เมืองลั่วหยาง

 

 

เนื่องจากเคยเป็นเมืองหลวงของหลายราชวงศ์ เช่น ราชวงศ์โจวตะวันออก ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และราชวงศ์ถัง ที่นี่จึงมีร่องรอยของประวัติศาสตร์จีนที่สำคัญในหลายยุคสมัย และเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์จีนมากถึงกว่าร้อยพระองค์ ลั่วหยางยังเป็นที่ตั้งของถ้ำผาหลงเหมิน ซึ่งเป็นถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจีน อายุรวมกว่า 400 ปี มีลักษณะเป็นหมู่ถ้ำเล็กๆ ถึง 2,345 คูหา และมีประติมากรรมพุทธรูปที่กอปรขึ้นด้วยศรัทธาอีกกว่า 100,000 องค์

 

 

พระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ พระพุทธรูปสลักผาหิน มีความสูง 17 เมตร และมีใบหูยาวกว่า 2 เมตร ได้รับรูปแบบการก่อสร้างอ้างอิงมาจากพระพุทธเจ้าและบูเช็กเทียน (Wu Zetian) จักรพรรดินีของจีน ผู้ได้รับกล่าวขานว่ารอยยิ้มของพระนาง มีความงามเช่นเดียวกับโมนาลิซา สถานที่แห่งนี้ได้รับการยกย่องจากองค์กร UNESCO ให้เป็นมรดกโลกด้วยเช่นกัน

 

 

4. เมืองไคฟง

 

 

เป็นเมืองที่ตั้งของศาลไคฟง สถานที่พิพากษาคดีของท่านเปาบุ้นจิ้น ยอดคนคุณธรรมแห่งแดนมังกร ซึ่งคนไทยหลายๆ คนน่าจะคุ้นเคยกันดีจากซีรีส์ที่รีรันแล้วรีรันอีกของช่อง 3 โดยภายในศาลมีการจัดแสดงชุดเครื่องประหารของเปาบุ้นจิ้น และมีรูปปั้นท่านเปาบุ้นจิ้น หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ สูง 3.8 เมตร หนัก 5.6 ตัน นับเป็นรูปปั้นที่หนักที่สุดในเมืองจีน

 

 

ไม่เพียงเท่านี้ เหอหนานยังเป็นมณฑลที่มีทัศนียภาพทางธรรมชาติอันงดงามและอุดมสมบูรณ์ อย่างภูเขาไป๋-ยฺหวิน (Baiyun) หรือภูเขาเมฆขาว ยอดเขาที่สวยงามที่สุดอีกแห่งในประเทศจีน ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเดินท่ามกลางก้อนเมฆ รวมถึงการฝึกซ้อมกังฟู โดยมี กังฟูเส้าหลิน (Shaolin Kung Fu) เป็นหนึ่งในรูปแบบศิลปะการต่อสู้ที่เก่าแก่ และมีชื่อเสียงมากที่สุดของจีน จนมีคำพูดว่า “ศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดเกิดจากวัดเส้าหลิน”

 

 

และอีกหนึ่งศิลปะด้านการป้องกันตัวและรักษาสุขภาพชื่อดังของจีน คือ การฝึกฝนไทชิ หรือไทเก็ก (Tai Chi) ที่ผู้คนนับพันจากทั่วโลกเดินทางมายัง ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของไทชิ’ เพื่อเรียนรู้และฝึกฝนศาสตร์การป้องกันตัว และเพื่อประโยชน์ต่อการรักษาสุขภาพ

 

คุณโกวจีชาน (Mr. Guo Ji Shan) ผู้อำนวยการฝ่ายการท่องเที่ยวจังหวัดเหอหนาน กล่าวเพิ่มเติมว่า “เหอหนานเป็นมณฑลที่มีสถานที่ยอดเยี่ยม ทั้งทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ทุกสถานที่ท่องเที่ยวเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของอารยธรรมอันทรงคุณค่าของจีน พร้อมด้วยทัศนียภาพทางธรรมชาติอันงดงามและ อุดมสมบูรณ์ ในฐานะตัวแทนจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ขอเชิญนักท่องเที่ยวชาวไทยมาร่วมเปิดประสบการณ์”

 

ใครที่หลงใหลในด้านประวัติศาสตร์น่าจะมองไว้เป็นตัวเลือก สำหรับแพลนทริปรอบหน้า

 

Photo: ShutterStock, การท่องเที่ยวมณฑลเหอหนาน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X