×

‘กัญชง-กัญชา’ กำลังดูดเงินลงทุนทั่วโลก แล้วโอกาสของนักลงทุนอยู่ตรงไหน

08.03.2021
  • LOADING...
กัญชง-กัญชา

‘กัญชง’ และ ‘กัญชา’ ซึ่งในอดีตถูกจัดว่าเป็นสารเสพติดและผิดกฎหมายสำหรับหลายประเทศทั่วโลก แต่ปัจจุบันกำลังกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนที่น่าจับตามอง 

 

สำหรับธุรกิจนี้ ในต่างประเทศถือว่าแพร่หลายมาก่อนไทย โดยมีหลายบริษัทที่เป็นบริษัทมหาชนและจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของหลายประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในสหรัฐฯ และแคนาดา โดยบริษัทที่ใหญ่ที่สุดคือ Canopy Growth Corp. มีมูลค่าราว 3 แสนล้านบาท 

 

ขณะเดียวกันธุรกิจนี้ยังเป็นหนึ่งในธีมการลงทุนที่กองทุน ETF หลายแห่งให้ความสนใจ และในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาก็ถือเป็นหนึ่งในธีมการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนค่อนข้างโดดเด่น 

 

ข้อมูลจาก etfdb.com ระบุว่ากองทุน ETF 9 แห่งซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นกัญชงและกัญชาให้ผลตอบแทนถึง 18-70% โดยกองทุน ETF ด้านนี้ที่ใหญ่ที่สุดคือ ETFMG Alternative Harvest ETF มีสินทรัพย์ 1.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

กัญชง-กัญชา

 

สำหรับประเทศไทยถือว่าอยู่ในช่วงของการเริ่มต้นสำหรับตลาดนี้ หลังจากที่ภาครัฐปลดล็อกกัญชงตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2564 ให้สามารถนำไปปลูกและใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ และเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีมติเห็นชอบใน 2 ประเด็นคือ ให้ใช้ส่วนของกัญชงและกัญชาที่ไม่เป็นยาเสพติด (THC น้อยกว่า 0.2%) ในผลิตภัณฑ์อาหารได้ และอนุญาตให้ใช้เมล็ดกัญชง น้ำมันจากกัญชง โปรตีนจากเมล็ดกัญชงในผลิตภัณฑ์อาหารได้ 

 

กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่าโอกาสของการลงทุนในธุรกิจกัญชงและกัญชามีอยู่ทั้งในและต่างประเทศ สำหรับต่างประเทศจะครอบคลุมทั้งส่วนของกัญชงและกัญชา โดยจะเริ่มเห็นหลายประเทศทยอยปลดล็อกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 

 

อย่างในสหรัฐฯ กำหนดให้แต่ละรัฐสามารถตัดสินใจได้เองในเรื่องของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หรือในแคนาดาซึ่งได้ปลดล็อกกฎหมายมาก่อนหน้านี้แล้ว ขณะที่หลายประเทศในยุโรปก็เริ่มผ่อนปรนมากขึ้น ทำให้กัญชงและกัญชาเป็นที่แพร่หลายมากขึ้นทั่วโลก และเริ่มเห็นกองทุน ETF ซึ่งเน้นลงทุนในธุรกิจนี้ปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่ผ่านมา 

 

“ตลาดของกัญชงและกัญชากำลังใหญ่ขึ้น และเป็นธีมการลงทุนหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าบริษัทเหล่านี้ยังทำกำไรได้ไม่ดีนัก หรือบางบริษัทยังขาดทุนอยู่ แต่ก็มีแนวโน้มที่กำไรจะดีขึ้น หากตลาดขยายจนเกิด Economy of Scale”

 

สำหรับบริษัทในตลาดหุ้นไทย บล.โนมูระ พัฒนสิน ได้แบ่งกลุ่มของผู้ประกอบการที่มีศักยภาพในอุตสาหกรรมนี้ออกเป็น 3 กลุ่มหลักคือ กลุ่มต้นน้ำ (ปลูก) กลุ่มกลางน้ำ (โรงสกัดและโรงกลั่น) และกลุ่มปลายน้ำ (ผลิตภัณฑ์) 

 

“ในช่วงเริ่มต้น เชื่อว่าทุกบริษัทมีโอกาสจะได้ประโยชน์จากกัญชง ซึ่งนักลงทุนอาจจะเลือกกระจายการลงทุนในทุกๆ ส่วน แม้ว่าที่ผ่านมาจะเห็นแรงเก็งกำไรเข้ามาในธุรกิจต้นน้ำและกลางน้ำก่อน ทั้งนี้ หุ้นที่น่าจะได้รับผลบวกอย่างมากจากการขยายธุรกิจกัญชงคือบริษัทที่ยังมีฐานกำไรไม่ใหญ่มาก ซึ่งส่วนมากจะอยู่ในกลุ่มธุรกิจกลางน้ำ” 

 

 

ขณะที่ บล.บัวหลวง มองว่าผู้ผลิตต้นน้ำและกลางน้ำจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์มากที่สุด โดยธุรกิจต้นน้ำซึ่งเป็นผู้ปลูก ได้แก่ GLOBAL และ DOHOME ขณะที่ธุรกิจกลางน้ำคือผู้ที่มีโรงงานสกัด เช่น DOD และ RBF 

 

ส่วนธุรกิจปลายน้ำอย่างผู้ผลิตเครื่องสำอาง ได้แก่ DDD, BEAUTY, RS และ KISS หรือธุรกิจนวดประคบอย่าง SPA น่าจะได้ประโยชน์จากข่าวระยะสั้น ขณะที่ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มอย่าง CBG และ OSP จะได้รับประโยชน์ช้าที่สุด เพราะต้องรอการปลดล็อกกฎหมายเพิ่มเติม และสุดท้ายจะเจอภาวะแข่งขันรุนแรง 

 

โดยสรุปแล้วยังไม่มีการคาดถึงการปรับประมาณการกำไรเพิ่มขึ้น และเตือนให้นักลงทุนเริ่มระมัดระวังหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นจากข่าวนี้ 

 

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก BDSA ประเมินว่าปัจจุบันตลาดกัญชาที่ถูกกฎหมายทั่วโลกจำกัดอยู่บางประเทศที่สำคัญๆ เช่น สหรัฐฯ แคนาดา และยุโรป (บางประเทศ) โดยประเมินว่าขนาดตลาดอยู่ที่ประมาณ 1.97 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็นการใช้งานทางการแพทย์และสำหรับสันทนาการ คาดว่าในปี 2025 จะมีขนาดตลาดเพิ่มเป็นราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ราว 20-30% ต่อปี จากความต้องการที่สูงขึ้นในหลายประเทศที่เริ่มมีการปลดล็อกให้ผลิตและใช้งานได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งในประเทศไทยปัจจุบันยังจำกัดการใช้เพื่อสันทนาการ

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

ภาพประกอบ: เทียนจรัส วงศ์พิเศษกุล

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising