×

เพื่อนร่วมงานที่ออฟฟิศขี้เมาท์ แต่ก็กลัวไม่มีเพื่อน…จะยอมอยู่ในกลุ่มขี้เมาท์ดีไหม

06.12.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

4 Mins. Read
  • ความสนิทกันระหว่างเพื่อนร่วมงานอาจจะทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าทำงานกับคนที่เกลียดขี้หน้ากัน การทำงานร่วมกันก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เราเข้ากันได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้การขลุกอยู่ด้วยกันเพื่อนินทาใครมาทำให้เราสนิทกัน
  • ต่อให้เราเข้ากลุ่ม เราก็อาจโดนนินทาได้อยู่ดี อย่าสนใจว่าใครจะนินทาเราเลยครับ อยู่ในจุดที่เราสบายใจดีกว่า อย่าเปลี่ยนตัวเองเพียงเพราะความกลัวในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เลย ที่สำคัญการกลัวโดนนินทามันไม่มีประโยชน์หรอกครับ เพราะเอาจริงถ้าเราดีพอ เสียงนินทาว่าร้ายของใครก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอกครับ

Q: เพื่อนผู้หญิงที่ออฟฟิศชอบจับกลุ่มเมาท์คนที่ทำงานกันค่ะ หนูรู้สึกอึดอัด แต่ก็กลัวว่าถ้าเราไม่เข้ากลุ่มก็จะโดนนินทาไปด้วยเหมือนที่คนอื่นเคยเจอ หรือถ้าไม่เป็นเพื่อนเดี๋ยวก็จะมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ในที่ทำงาน เดี๋ยวจะทำงานด้วยกันไม่ได้ เดี๋ยวจะไม่มีเพื่อนที่ทำงานอีก หนูควรวางตัวอย่างไรกับเพื่อนขี้เมาท์ดีคะ

 

A: พี่คิดว่าสิ่งที่น่ากลัวมากกว่าการไม่มีเพื่อนคือการมีเพื่อนแย่ๆ นี่แหละครับน้อง โลกเรามีคนหลากหลาย เราจะเจอทั้งคนดีและไม่ดี สังคมที่ทำงานก็เป็นโลกอีกใบหนึ่งที่เราจะเจอคนที่เติบโตมาแตกต่างกัน มีนิสัยต่างกัน เชื่อในคุณค่าของการมีชีวิตที่ต่างกัน ซึ่งเราต้องอยู่ร่วมกับความแตกต่างเหล่านี้ให้ได้

 

พี่คิดว่าน้องต้องแยกให้ออกก่อนว่าไม่ใช่ทุกคนในที่ทำงานจะเป็น ‘เพื่อน’ เราได้หมด เรามาทำงานก็เพื่อทำงานให้สำเร็จลุล่วง เพื่อนที่ทำงานก็คือคนที่เรามาทำงานร่วมกันเท่านั้นเอง มาทำงานแล้วงานสำเร็จไปด้วยดีก็จบ เรามาอยู่ร่วมกันด้วยจุดประสงค์คือการทำงานเท่านั้นเอง แต่ถ้าคนไหนจะเป็นมากกว่าคนที่มาเจอหน้ากันแล้วทำงานด้วยกันได้แล้วกลายเป็น ‘เพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข’ พี่คิดว่านั่นเป็นกำไรชีวิต และเราควรรักษาคนแบบนั้นให้ดี เพราะไม่ใช่ทุกคนที่เราเจอจะดีกับเราหมด

 

ความสนิทกันระหว่างเพื่อนร่วมงานอาจจะทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าทำงานกับคนที่เกลียดขี้หน้ากัน แต่พี่คิดว่าการทำงานร่วมกันก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เราเข้ากันได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้การขลุกอยู่ด้วยกันเพื่อนินทาใครมาทำให้เราสนิทกัน

 

พี่กลับคิดว่าขนาดน้องยังรู้เลยว่าเพื่อนร่วมงานกลุ่มนี้โคตรขี้เมาท์ คนอื่นที่ทำงานก็ต้องรู้แหละ แล้วลองคิดดูนะครับว่าเวลาที่คนอื่นมองมายังน้องซึ่งอยู่ในกลุ่มขี้เมาท์นี้ด้วย เขาจะรู้สึกกับน้องอย่างไร เขาก็อาจจะมองว่าน้องก็ไม่ต่างกับเพื่อนๆ ขี้เมาท์เหล่านั้น อันนี้สิเป็นสิ่งที่น่าจะต้องระวังในการวางตัว

 

ไม่จำเป็นที่เราจะต้องวางตัวเป็นศัตรูกับเพื่อนขี้เมาท์ แต่เราควรมีระยะห่างที่เหมาะสม เจอกันทักทายกันได้ พูดคุยกันได้ในระดับที่ไม่ทำร้ายกัน ทำงานกันได้ปกติเพื่อให้งานเดินไปได้ แต่ถ้าเขาจะดึงดูดให้เรานินทาใคร หรือเอาพลังลบมาใส่เรา พี่ว่าเราต้องเด้งออก ไม่อย่างนั้นน้องจะได้รับทัศนคติที่ไม่ดีจากคนกลุ่มนี้มาหล่อหลอมตัวน้องเองด้วย กลายเป็นว่าน้องจะมองเห็นแต่จุดบกพร่องของคนอื่นอยู่ตลอด หรือหาทางเหยียบย่ำคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดีอยู่เสมอ ไปอยู่กับคนอื่นที่อยู่แล้วน้องกลายเป็นคนที่ดีขึ้นสบายใจดีกว่าไหมครับ

 

เพื่อให้น้องได้มุมมองอื่นๆ นอกจากมุมของพี่เพื่อไปจัดการกับชีวิต พี่เลยเปลี่ยนบรรยากาศเอาคำถามนี้ไปถามเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ผ่านประสบการณ์การทำงานมาแล้วมาถ่ายทอดพลังทายาทอสูรให้กับน้องครับ

 

ถือว่าพวกพี่ถ่ายทอดพลังให้น้องแล้ว ที่เหลือน้องลองคิดดูนะครับว่าจะจัดการกับชีวิตอย่างไร

ไม่จำเป็นที่เราจะต้องวางตัวเป็นศัตรูกับเพื่อนขี้เมาท์ แต่เราควรมีระยะห่างที่เหมาะสม เจอกันทักทายกันได้ พูดคุยกันได้ในระดับที่ไม่ทำร้ายกัน ทำงานกันได้ปกติเพื่อให้งานเดินไปได้ แต่ถ้าเขาจะดึงดูดให้เรานินทาใคร หรือเอาพลังลบมาใส่เรา พี่ว่าเราต้องเด้งออก

คำแนะนำจากพี่ A หนุ่มใหญ่ให้ร่มเงา ประสบการณ์การทำงานโชกโชนตั้งแต่เป็นพนักงานยันเป็นผู้บริหารกิจการตัวเอง

ถ้าเป็นพี่ก็จะทำอยู่สองอย่าง หนึ่ง ลองเข้าไปสังเกตการณ์ก่อนว่าคนกลุ่มนี้เขาเมาท์เรื่องอะไรกัน เมาท์ระดับไหน แต่ละคนเป็นอย่างไร จะได้รู้เขารู้เรา รู้เท่าทันกัน สอง พอรู้และเข้าใจแล้วว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์กับเรา ไม่ได้ทำให้เราเก่งขึ้น ก้าวหน้าขึ้น ไม่ได้เป็นสาระสำคัญในชีวิตประจำวัน ก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องเอาใจไปจดจ่อกับมัน

 

ถ้าวันหนึ่งเขาเมาท์เราแล้วมันไม่จริง ก็ไม่ต้องโกรธ เพราะมันไม่จริง หรือถ้าหากเราฟังแล้วมันจริงอยู่บ้าง ซึ่งเราก็อาจลองกลับมาดูว่ามันเป็นความจริงในแง่ไหน หากมันเป็นความจริงในแบบที่เราคิดว่าเปลี่ยนแล้วดีกับเรา เป็นประโยชน์ ก็ลองเปลี่ยนดูก็ได้ ไม่เสียหาย ส่วนเรื่องที่ว่าคนจะนินทาเรา อันนี้เห็นว่าเป็นเรื่องปกติโลก ไม่มีใครในโลกนี้ไม่โดนนินทา ถ้าเข้าใจธรรมชาติเรื่องนี้ก็จะเข้าใจและสามารถ ‘ช่างแม่ง’ กับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายขึ้นมาก บางทีเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของวัยด้วยนะ พออายุมากขึ้น ใจเรานิ่งขึ้น เราจะเข้าใจได้เองเลยว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรเสียเวลา ชีวิตมีเรื่องที่จรรโลงใจเรามากกว่าการเก็บเอาคำนินทามานั่งกลุ้ม

 

คำแนะนำจากพี่ B มนุษย์ออฟฟิศที่เนื้องานคือการทำงานกับมนุษย์ที่หลากหลาย จนพบว่าสิ่งที่ยากที่สุดในงานคือการทำงานกับมนุษย์

อย่างแรกที่ต้องทำคือตอบคำถามให้ได้ก่อนว่าทำไมถึงกลัว ไม่ใช่แค่การกลัวโดนนินทา แต่หมายถึงการตั้งคำถามกับความกลัวทุกเรื่องที่มีในชีวิต เรื่องไม่จริง คนเอาไปนินทา ก็มันเรื่องไม่จริง แล้วกลัวอะไร เรื่องจริง คนเอาไปนินทา ก็มันเรื่องจริง ก็ต้องเผชิญ แล้วกลัวอะไร น้องต้องหาให้เจอว่ากลัวอะไรแล้วแก้ไขความกลัวนั้นเป็นจุดๆ ไป

 

คนเรามักยึดติดกับภาพภาพหนึ่งของตัวเอง หรือสิ่งที่ตัวเองอยากให้เป็น เมื่อเราควบคุมภาพนั้นไม่ได้ก็กลัวจะเสียมันไป เลยแสดงออกแบบบิดเบี้ยว เช่น พูดไม่จริง ใส่ความคนอื่น หรือกลบเกลื่อน ทั้งหมดมาจากการยึดและการกลัวสภาพที่แน่นอนของสิ่งที่ยึด มันเลยเป็นการกลัวซ้อนกลัวเข้าไปอีก

 

จริงๆ เดินจากเพื่อนกลุ่มนี้มาเลยยังได้ เพราะมันนิสัยไม่ดี – กลัวอะไร เลือกไม่ส่งเสริมได้ไหม ใครเมาท์ก็เมาท์ไป เราไม่พูด – กลัวอะไร ถ้าโดนเมาท์แล้วไงวะ – กลัวอะไร อย่าไปคบเพื่อนแบบนี้ เราจะใช้ชีวิตอยู่กับความกลัวไม่ได้

 

สิ่งที่พี่จะบอกก็คือ จริงๆ ชีวิตมีความกลัวที่ยิ่งใหญ่และสลัดออกยากกว่านี้อีกเยอะมากที่เราต้องเตรียมรับมือแน่ๆ คือ การกลัวตาย กลัวการจากไปของคนที่รัก เช่น พ่อแม่ เห็นไหมว่าเรื่องการกลัวคนนินทา กลัวไม่มีคนพูดด้วยในที่ทำงานเป็นเรื่องเล็กไปเลย

 

คำแนะนำจากพี่ C อดีตหนุ่มออฟฟิศที่มาลุยกิจการของตัวเอง ขาดทุนบ้าง กำไรน้อยบ้าง แต่ใจโคตรสู้ ยังหัวเราะดัง และชอบทำให้คนอื่นหัวเราะ

ต่อให้เราเข้ากลุ่ม เราก็อาจโดนนินทาได้อยู่ดี อย่าสนใจว่าใครจะนินทาเราเลยครับ อยู่ในจุดที่เราสบายใจดีกว่า อย่าเปลี่ยนตัวเองเพียงเพราะความกลัวในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้เลย ที่สำคัญ การกลัวโดนนินทามันไม่มีประโยชน์หรอกครับ เพราะเอาจริงถ้าเราดีพอ เสียงนินทาว่าร้ายของใครก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอกครับ

 

คำแนะนำจากพี่ D สาวสวยโสดโคตรเปรี้ยวชอบทำงานช่วยสังคม

พระพุทธเจ้าสอนว่า ‘นตฺถิ โลเก อนินฺทิโต’ แปลว่า คนที่ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก คือไม่ต้องกลัวว่าไม่ได้อยู่กลุ่มนี้แล้วจะถูกนินทา ถึงอยู่ในกลุ่มแต่วันนั้นไม่ไปทำงาน หรือแค่เดินไปเข้าห้องน้ำระหว่างกินข้าวกลางวันก็โดนนินทาแล้ว เวลาเรานัดเพื่อนๆ ที่ไม่เจอกันนานๆ มันยังมีคำว่า ‘ใครไม่มาคนนั้นโดนนินทา’ เลย มันนินทาไปได้ตั้งแต่เรื่องดี เพราะมันอิจฉาเรา ไปจนเรื่องเหี้ยๆ เพราะเราเหี้ยจริง เพราะฉะนั้นเราห้ามใครนินทาไม่ได้

 

ส่วนเรื่องว่าจะรับมือกับกลุ่มนี้อย่างไร ถ้าเรื่องอื่นๆ เขาดี และคิดว่ายังอยากเป็นเพื่อนอยู่ ก็คบต่อได้ แต่เวลาพวกนางนินทาใครก็นั่งฟังไป ไม่ต้องร่วมเมาท์ หรือจะช่วยแก้ต่างคนที่โดนนินทาก็ได้ว่า ที่เราฟังมามันไม่จริงนะ แต่เอาจริง แก้ต่างไปคือไม่มีประโยชน์นะ คนจะด่ายังไงมันก็ด่า หรือพอเขาเริ่มนินทาก็ให้ลุกไปห้องน้ำ แล้วเขาจะเปลี่ยนมานินทาเราแทน แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่ไหว แล้วทำไมต้องมาอยู่ท่ามกลาง Toxic People แบบนี้ก็ให้ออกจากกลุ่ม แต่ก็เตรียมตัวไว้ได้เลยว่าโดนนินทาแน่ๆ สรุปคือ จะอยู่ในกลุ่มหรือจะออกจากกลุ่มก็โดนค่ะ เราห้ามคนแบบนี้ไม่ได้

 

เราควบคุมทุกอย่างในโลกไม่ได้หรอกค่ะ เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะเป็นอย่างที่เราคาดหวังไว้ คำว่า ‘ปล่อยวาง’ นี่พูดง่ายแต่ทำยาก พี่เข้าใจ เรื่องแบบนี้ประสบการณ์ชีวิตจะทำให้เราทำได้ งั้นเอาอย่างนี้ค่ะ เปลี่ยนจากคำว่าปล่อยวางเป็นคำนี้ค่ะ ถือว่าพี่ให้คาถา เป็นคาถาที่น้องควรหัดใช้ไว้ เพราะน้องยังต้องเจออะไรอีกเยอะ

 

คาถาคำเดียวเลยค่ะ คือ ‘ช่างแม่ง’

 

* ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ 

 

ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai 

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising