ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่ามาตรการ ‘คนละครึ่ง’ ที่จะเริ่มในเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2563 ได้มีการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งแตกต่างไปจากมาตรการก่อนหน้า โดยเฉพาะในเรื่องของการจำกัดวงเงินการใช้จ่ายต่อวันไม่เกินวันละ 150 บาท ส่งผลให้สินค้าที่ซื้อถูกจำกัดหรือมีมูลค่าไม่สูงนัก และส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน เช่น ของใช้ส่วนตัว อาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์
ซึ่งการกำหนดข้อจำกัดของเงื่อนไขดังกล่าวน่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับร้านค้าปลีกรายย่อยมีโอกาสที่จะเพิ่มยอดขาย อย่างไรก็ตาม โอกาสดังกล่าวจะมากน้อยแค่ไหนยังต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นจำนวนร้านค้าปลีกรายย่อยที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงเวลาเปิด-ปิดกิจการที่สามารถอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง
ดังนั้นศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงคาดว่าผลจากมาตรการ ‘คนละครึ่ง’ น่าจะช่วยหนุนค้าปลีกในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ได้ในระดับหนึ่ง และทำให้ยอดค้าปลีกหดตัวลดลงเล็กน้อยเหลือ 7.2% จากเดิมที่คาดไว้ว่าจะหดตัว 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งบรรดาผู้ประกอบการค้าปลีกอาจจะอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดควบคู่ไปด้วยเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการใช้จ่ายมากขึ้น
จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 เห็นชอบให้มีการใช้มาตรการ ‘คนละครึ่ง’ ที่จะเริ่มในเดือนตุลาคม-ธันวาคม 2563 ซึ่งนอกจากจะกำหนดวงเงินคนละไม่เกิน 3,000 บาท (โดยรัฐจะจ่ายให้ 50% ของยอดใช้จ่าย ซึ่งไม่เกิน 3,000 บาท) เป็นจำนวน 10 ล้านคนแล้วนั้น ยังมีเงื่อนไขอื่นๆ ที่แตกต่างไปจากมาตรการกระตุ้นกำลังซื้ออื่นๆ ที่ออกมาก่อนหน้า เช่น ชิมช้อปใช้ คือมีการจำกัดวงเงินการใช้จ่ายต่อวัน ไม่เกินวันละ 150 บาท
ส่งผลให้สินค้าที่เข้าข่ายหรือตอบโจทย์วงเงินดังกล่าวมีมูลค่าที่ไม่สูงนัก และเน้นไปที่สินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ โดยเฉพาะของใช้ส่วนบุคคล อาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (ไม่รวมลอตเตอรี่ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาสูบ และการบริการ)
นอกจากนี้มาตรการดังกล่าวครอบคลุมเฉพาะผู้ประกอบการค้าปลีกขนาดเล็ก เช่น ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก โชห่วย และแผงลอยเท่านั้น จึงน่าจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการค้าปลีกกลุ่มดังกล่าวมีโอกาสสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 และน่าจะเป็นโอกาสของธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่างๆ เช่น ผู้ผลิตสินค้า เกษตรกร รวมถึงการจ้างงานของธุรกิจต่างๆ ในห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจค้าปลีกได้ในระดับหนึ่ง
จากที่ก่อนหน้านี้บรรดาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกและธุรกิจเกี่ยวเนื่องต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันทางด้านกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ซบเซาต่อเนื่องจากวิกฤตโควิด-19 ที่ระบาดมาตั้งแต่ต้นปี บวกกับกำลังซื้อของคนในประเทศที่ยังคงอ่อนแรงต่อเนื่องจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจและการว่างงานที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งผลกระทบจากโควิด-19 ที่ยังคงระบาดรุนแรงในต่างประเทศ
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าโอกาสในการเพิ่มยอดขายจากมาตรการดังกล่าวจะมากน้อยแค่ไหนยังต้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นจำนวนร้านค้าปลีกที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ รวมถึงเวลาเปิด-ปิดของร้านค้าปลีกที่สามารถอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ทั้งนี้จากการสำรวจการใช้จ่ายจากมาตรการ ‘คนละครึ่ง’ ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย (ในช่วงวันที่ 11-18 กันยายน 2563) พบว่าผู้บริโภคมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่น่าสนใจ ดังนี้
กว่า 64% ของผู้ตอบแบบสำรวจวางแผนที่จะใช้จ่ายเต็มวงเงิน (3,000 บาท) และที่เหลืออีก 36% วางแผนที่จะใช้จ่ายบางส่วน หรือไม่ถึง 3,000 บาท โดยสินค้าที่ซื้อส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าจำเป็นที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น ของใช้ส่วนบุคคล (แชมพู สบู่ ยาสีฟัน) อาหาร และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์
การใช้จ่ายของผู้บริโภคทั้ง 2 กลุ่ม พบว่าส่วนใหญ่กว่า 56% ของผู้ตอบแบบสำรวจยังคงใช้จ่ายใกล้เคียงหรือไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีมาตรการ เนื่องจากมีแผนที่จะใช้จ่ายอยู่แล้วในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ผลจากมาตรการถือเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภคได้
เนื่องจากรัฐช่วยออกค่าใช้จ่ายให้ครึ่งหนึ่ง จากเดิมที่ผู้บริโภคจะต้องจ่ายเอง 100% ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีเงินเหลือไปใช้ในการทำกิจกรรมอย่างอื่นหรือเก็บออมไว้ใช้จ่ายยามจำเป็นได้ ขณะที่ผู้บริโภคอีก 44% ของผู้ตอบแบบสำรวจมองว่าวางแผนจะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ไม่มีมาตรการ โดยอาจวางแผนเลื่อนวันในการซื้อสินค้าให้ตรงกับช่วงที่ออกมาตรการ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าผลจากมาตรการคนละครึ่งน่าจะช่วยหนุนค้าปลีกในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2563 ให้หดตัวลดลงเล็กน้อยเป็น 7.2% จากเดิมที่คาดว่าจะหดตัวถึง 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้ดังกล่าวจะกระจายไปยังร้านค้าปลีกที่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกดั้งเดิม เช่น ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก โชห่วย ร้านธงฟ้า
ซึ่งนอกจากการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้ว ร้านค้าเหล่านี้อาจจะต้องเตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องของสต๊อกสินค้า ความสดใหม่ และคุณภาพของสินค้า รวมถึงอาจจะอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวจัดทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคเกิดการใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งนี้แรงส่งจากมาตรการดังกล่าวน่าจะทำให้ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกทั้งปี 2563 หดตัวประมาณ 6% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
เรียบเรียง: ชุติมา มุสิกะเจริญ
ติดตามข่าวสารการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่: www.efinancethai.com
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์