ฉันออกเดินทางในวันที่ไม่มีแดด คือผลงานล่าสุดของ กันต์ ชุณหวัตร ที่พลิกบทบาทจากนักแสดงใน Hormones วัยว้าวุ่น, พิธีกรและโปรดิวเซอร์รายการ Hang Over Thailand, ศิลปินเดี่ยวจากค่าย Boxx Music ฯลฯ มาสู่บทบาทสุดท้ายคือ ‘นักเขียน’ ที่บันทึกเรื่องราวระหว่างการเดินทางในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี ที่ไม่ใช่แค่เดินทางคนเดียว แต่เขายังเขียน ถ่ายรูป และตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ด้วยตัวคนเดียวทุกขั้นตอน
กันต์เริ่มออกทริปเพราะปัญหาชีวิตที่รุมเร้าเมื่อ 1 ปีก่อน ช่วงที่เขาพยายามคิด วิเคราะห์ พูดคุยเพื่อหาทางแก้ปัญหาให้ดีที่สุด จนตัดสินใจพาตัวเองออกไปจากสถานที่เดิมๆ เพื่อไปรับรู้ว่าตัวเองไม่ใช่ศูนย์กลางของโลกใบนี้ รวมทั้งบทสนทนากับคนแปลกหน้าที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ที่ยิ่งเขาพูดคุยมากเท่าไรก็ยิ่งได้เสียงในหัวใจของตัวเองที่หลงลืมไปมากขึ้นเท่านั้น
บทบาทล่าสุดกับการเป็น ‘นักเขียน’ แบบเต็มตัวของกันต์เริ่มต้นขึ้นได้อย่างไร
เริ่มจากช่วง 1 ปีก่อนที่เพิ่งเรียนจบแล้วเจอปัญหาหลายอย่าง ทั้งเรื่องส่วนตัว การทำงาน ทำเพลง รายการโทรทัศน์ จมอยู่กับการแก้ปัญหาทุกอย่างจนรู้สึกว่าเราสับสนไปหมด ไม่อยากทำอะไรแล้ว จนมีใครสักคนพูดขึ้นมาว่า เฮ้ย ไปพักก่อนไหม ก็เริ่มคิดว่า เออ เราน่าจะลองพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ดูบ้าง เพราะเริ่มอยู่ในที่เดิม วนลูปเดิมๆ มานานแล้ว ก็ลองทำทริปง่ายๆ ใช้เวลาประมาณ 10 วันไปญี่ปุ่นกับเกาหลี
แต่ยังไม่ได้คิดว่าจะเอามาเขียนเป็นหนังสือจริงจังนะครับ แค่คิดว่าช่วงนี้ชีวิตเราไม่ค่อยดีว่ะ อยากจดบันทึกโมเมนต์ตรงนี้เอาไว้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงเวลาที่เราพาตัวเองออกมาจากสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีตรงนั้น แต่พอจบทริป กลับมานั่งอ่านแล้วรู้สึกว่ามันมีความทรงจำดีๆ หลายอย่างเกิดขึ้นที่อยากส่งต่อให้คนอื่นรับรู้ไปกับเรา แล้วผมมีความฝันว่าอยากเขียนหนังสือของตัวเองจริงๆ มาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เรื่องตรงนี้ก็ถือว่าเป็นวัตถุดิบที่ดี ก็เลยลองเอาที่บันทึกมาเรียบเรียงใหม่ เขียนๆ ลบๆ อยู่ประมาณครึ่งปีเหมือนกันนะครับที่เริ่มเห็นความเป็นไปได้ แล้วค่อยเริ่มลุยกับมันอย่างจริงจัง
ที่บอกว่าอยากพัก อยากพาตัวเองออกไปจากช่วงเวลาที่สับสน การไปเที่ยวครั้งนี้ตอบโจทย์สิ่งที่กันต์ต้องการได้เลยไหม
ช่วยเลยครับ ตอนอยู่ที่นี่ไม่ได้ออกไปไหน เราพาตัวเองจมกับปัญหาทุกอย่างไปเรื่อยๆ จนคิดว่าปัญหาที่เราเจอมันใหญ่ที่สุด เราคือคนที่ซวยที่สุดในโลก แต่พอพาตัวเองออกไปจากที่เดิมๆ ไปเห็นอะไรใหม่ๆ เราจะรู้สึกว่าตัวเราเล็กลง โลกยังมีคนอีกมากมายที่เจอปัญหาหนักกว่าเราด้วยซ้ำ พอเห็นอะไรมากขึ้น เราก็สบายใจมากขึ้น และเริ่มรู้ว่าตัวเราไม่ได้เป็นศูนย์กลางของอะไรทั้งนั้น
ตามปกติกันต์ก็เป็นคนชอบท่องเที่ยวและทำรายการท่องเที่ยวอยู่แล้ว ทริปนี้ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากทริปอื่นๆ ก่อนหน้าอย่างไรบ้าง
ปกติเวลาไปกับคนอื่น เต็มที่ก็จะได้แยกไปอยู่คนเดียวสัก 2-3 วัน แต่ครั้งนี้ผมไปคนเดียวจริงๆ อยู่ไปเลยเป็นสิบวันที่ไม่มีคนรู้จักให้ชวนคุย ชวนไปกินข้าว เฮฮาตามประสาทั่วไป ทำให้ผมได้โฟกัสไปกับการมองคนที่เดินผ่าน สังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวด้วยสายตาที่ละเอียดขึ้น ได้สัมผัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้น และสุดท้ายสิ่งที่น่าสนใจคือเหตุการณ์ทั้งหมดที่เราได้จากการสังเกตสิ่งรอบตัวกลับทำให้เราได้ยินเสียงข้างในตัวเองชัดมากขึ้น
ไม่ใช่ว่าผมตั้งใจว่าจะต้องคุยกับตัวเองด้วยนะ แต่การนั่งอยู่เงียบๆ เฉยๆ อยู่ๆ มันจะมีบทสนทนาในหัวเกิดขึ้นมาเอง บางคำได้ยินชัดมาก ทั้งที่เรารู้อยู่แล้วล่ะว่ามันควรจะทำ แต่เราไม่เคยรู้สึกกับมันมากขนาดนี้มาก่อน จนตกใจว่า เฮ้ย เรารู้สึกหรือต้องการสิ่งนี้จริงๆ ว่ะ
เสียงที่ชัดเจนที่สุดบอกว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่กันต์ต้องการมากที่สุดคืออะไร
มันจะย้อนแย้งนิดหนึ่งนะ คือเราออกมาอยู่คนเดียว แต่เสียงที่ได้ยินกลายเป็นว่า เฮ้ย เราอยากพูดคุยกับคนอื่นว่ะ (หัวเราะ) แต่ความรู้สึกมันแตกต่างกันนะ ปกติผมชอบพูดชอบคุยอยู่แล้ว แต่ก่อนหน้าที่จากมา พอทุกอย่างที่เจอมันหนัก สิ่งที่คุยก็จะเป็นซีเรียสทอล์ก พูดคุยเพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้อย่างจริงจัง แต่พอมาอยู่คนเดียวแบบนี้ ช่วง 2-3 วันแรกก็ไม่เป็นไร วันที่ 4-5 เริ่มหนักขึ้น จนวันที่ 6 รู้สึกทนไม่ไหวจริงๆ
วันนั้นผมไปที่เมืองเล็กๆ ที่ชื่อเบปปุ ถึงที่พักประมาณ 2-3 ทุ่ม แช่ออนเซนเรียบร้อย ปกติคือควรหาอะไรกินสบายๆ แล้วก็เข้านอน แต่พอกลับมาที่ห้อง ทุกอย่างเงียบมาก สิ่งที่ทำคือเปลี่ยนชุด กางร่ม เดินกลางฝนเพื่อออกไปหาร้านนั่งเล่น จนไปเจอร้านหนึ่งที่มีเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ ให้เข้าไปนั่ง แล้วก็เกิดบทสนทนากับคนในร้านที่ดีมาก มากจนเราไม่เคยคิดมาก่อนว่าการคุยกับคนแปลกหน้าจะช่วยเติมเต็มความรู้สึกให้เราได้มากขนาดนี้
กันต์เป็นคนเริ่มต้นบทสนทนา หรือว่ามีใครทำให้บทสนทนานี้เกิดขึ้น
มีคนญี่ปุ่นที่เป็นขาประจำชื่อ โอนิกิริ อายุประมาณ 30 ปี มีกีตาร์วางอยู่ข้างๆ มาชวนผมคุย ความรู้สึกแรกคือนี่ชื่อมึงจริงๆ หรือเปล่าเนี่ย คนอะไรชื่อข้าวปั้นวะ (หัวเราะ) แถมคุยกันก็ไม่รู้เรื่อง เพราะผมก็ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษเก่งมาก แล้วโอนิกิริก็พูดญี่ปุ่นแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขาชวนผมคุยยับจนพนักงานเสิร์ฟคงสงสาร ต้องมาช่วยแปลภาษาให้ ซึ่งเรื่องที่คุยก็ธรรมดาพื้นฐานมากเลยนะครับ ทำงานอะไร ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง แล้วก็คุยๆ หยุดๆ เพราะถ้าพนักงานเขาเดินไปเสิร์ฟที่อื่นก็จะกลายเป็นช่วงยกแก้วดื่มกันอย่างเดียว (หัวเราะ) โอนิกิริก็พร้อมที่จะชนแก้วอยู่ตลอดเวลา ยิ่งดึกบรรยากาศก็ยิ่งสนุกขึ้นเรื่อยๆ
จนวันที่ 2 ผมก็ไปที่ร้านเดิม ตั้งใจว่าจะร่ำลาโอนิกิริ เพราะอีกวันผมต้องย้ายเมืองแล้ว ไปถึงก็เห็นเขานั่งอยู่ที่เดิม แล้วหันมาทักผมเสียงดังมาก คนในร้านก็เฮฮากัน คราวนี้แทบไม่ต้องสั่งอาหารเลย พอนั่งปุ๊บเขาก็เอามาวางปั้งๆๆ (หัวเราะ) แล้วก็ดื่มกันเหมือนเดิม ประมาณตี 1 ตี 2 โอนิกิริก็ลุกขึ้นแล้วพูดว่า Play! ซึ่งเขาพูดมาตั้งแต่คืนแรกแล้วนะ เราก็งงว่าดึกดื่นขนาดนี้จะไปเล่นที่ไหน เมืองเล็กๆ แบบนี้ก็ไม่น่าจะมีร้านไหนให้เล่นดนตรีอีกแล้ว
จนสุดท้ายก็ไม่ได้ร่ำลากัน ผมนั่งอยู่ที่ร้านสักพักก็เดินกลับโรงแรม ระหว่างทางต้องลงอุโมงค์ใต้ดินที่เงียบมาก แต่ได้ยินเสียงเพลงลอยมา พอขึ้นมาจากอุโมงค์ก็เห็นโอนิกิรินั่งร้องเพลงเล่นกีตาร์อยู่ พอเห็นผมเขาก็ทักว่า My Friend! ผมก็บอกว่าพรุ่งนี้จะไปแล้วนะ เขาก็ดึงผมไปกอดร่ำลาอีกที พอผมเดินกลับ เขาก็เล่นเพลงที่ผมฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่ได้ยินคำว่าซาโยนาระ แล้วเขาก็ร้องคำว่าซาโยนาระซ้ำไปเรื่อยๆ จนผมเดินห่างออกมา แม่งเหมือนซีนในหนังเลยนะครับ คิดเลยว่า เฮ้ย ในชีวิตคนเรามันเจอโมเมนต์ที่ดีได้แบบนี้เลยเหรอวะ
พอย้ายเมืองแล้วยังได้พยายามตามหาบทสนทนากับคนแปลกหน้าแบบนี้อีกไหม
พยายามครับ แต่โอกาสไม่ได้อำนวยขนาดนั้น เพราะพอมาอยู่ในเมืองใหญ่ผมก็ทำเหมือนเดิม คือหาร้านนั่ง แต่ภาพที่เห็นมันกลายเป็นร้านใหญ่ๆ คนเยอะๆ ที่ทุกคนใส่สูทมาสังสรรค์กันหลังเลิกงาน ทุกคนเฮฮากับกลุ่มของตัวเองจนแทบไม่มีที่ให้เราสอดแทรกได้เลย สุดท้ายเดินรอบเมืองก็ไม่ได้อะไร กลับมานั่งกดเบียร์กินที่โรงแรมคนเดียวแล้วก็จบแต่ละวันไปแค่นั้น
ตอนที่คุยกับคนแปลกหน้าอย่างโอนิกิริ ทำให้กันต์ได้ยินเสียงในใจตัวเองชัดขึ้นมาอีกบ้างไหม
ผมรู้สึกว่าคนเราแม่งต้องการเพื่อนว่ะ ต้องการคนยิ้มไปด้วยกัน หัวเราะไปด้วยกัน และเศร้าไปด้วยกันได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติในชีวิตของผมอยู่แล้วนะ เพียงแต่ช่วงก่อนหน้ามันจะเป็นการคุยแบบซีเรียสทอล์กเพื่อวิเคราะห์ เพื่อหาทางแก้ปัญหาตลอดเวลา แต่การคุยกับโอนิกิริที่ไม่ได้ลงลึกอะไรเลย คุยแบบคนที่ต่างบังเอิญมาเจอกัน แล้วหลังจากนี้ก็อาจจะไม่ได้เจอกันอีก มันทำให้รู้สึกผ่อนคลายและคิดว่า เออ ชีวิตคนเราบางทีมันไม่ได้ต้องการอะไรที่หนักหนาอยู่ตลอดเวลา
แล้วพอกลับมา ทุกอย่างดีขึ้นจริงๆ คือปัญหาทั้งหมดที่เจอมันยังอยู่ที่เดิมในปริมาณเท่าเดิมเลยนะครับ แต่ทำไมเราไม่รู้สึกเครียดเท่าก่อนหน้านั้นแล้ว เหมือนภาพหูฟังที่พอหยิบออกมาจากกระเป๋าแล้วมันพันกันฉิบหายแล้วผมหงุดหงิด กลับมาปมมันก็อยู่เหมือนเดิม แต่ผมเอามาวางแล้วค่อยๆ มองเห็นปมของมัน ค่อยๆ คลายมันออก ไม่ได้พยายามดึงมันออกจนขาดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
คุยกันถูกคอขนาดนั้น ไม่ได้แลกคอนแท็กกับโอนิกิริไว้เลยเหรอ
ตั้งใจไว้ครับว่าจะทำแบบนั้นเลย เพราะคิดว่าแค่นั้นมันสวยสมบูรณ์แบบแล้ว ผมแอบคิดนะว่าถ้าเรามีคอนแท็กกัน คุยกันต่อ ครั้งหน้าที่ผมมาก็อาจจะนัดเจอเขา แต่มันจะไม่อิมแพ็กเท่าการที่ผมมาคนเดียว กลับไปร้านนั้นแล้วเห็นเขานั่งอยู่ที่เดิม โอ้โห มันจะเป็นอะไรที่ดีมากเลยนะ
พอกลับมานั่งอ่านบันทึกทั้งหมดแล้วเริ่มลงมือเขียนเป็นหนังสือรู้สึกอย่างไรบ้าง
6 เดือนแรกเครียดมากครับ แค่หน้าแรกผมเขียนแล้วลบอยู่เป็นสิบครั้ง เพราะผมซีเรียสกับความคิดว่าสิ่งที่เขียนออกมามันต้องดีที่สุด ไม่แน่ใจว่าผมจะกล้าเอาสิ่งนั้นออกไปสู่สาธารณะแล้วเรียกตัวเองว่านักเขียนอย่างเต็มตัวได้ไหม แต่พอทำไปสักพักก็คิดเหมือนตอนทำเพลง คือทำออกไปก่อน ดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ต้องเขียนออกมาให้ได้ พอผ่านไปได้ช่วงหนึ่ง ได้เห็นภาพในวันนั้นลอยขึ้นมาแล้วมีความสุข ก็เขียนมาได้ด้วยความผ่อนคลายลงเรื่อยๆ แล้วที่ตลกคือไอ้หน้าแรกที่ผมลบแล้วแก้ไปเป็นสิบรอบ พอสุดท้ายที่เคาะออกมาสมบูรณ์มันแทบไม่ต่างอะไรจากแบบแรกที่ผมคิดว่ายังดีไม่พอเลย (หัวเราะ)
มีคนเป็นห่วงเยอะไหม ตอนที่บอกคนอื่นว่ากันต์จะเริ่มเขียนหนังสือ และเป็นคนทำทุกกระบวนการด้วยตัวเอง
เยอะมากครับ เพราะอย่างที่รู้กันว่าคนอ่านหนังสือน้อยลงมาก แต่ยังมีความเชื่อว่าหนังสือจะไม่ตาย ผมคิดว่าในโลกที่มันหมุนเร็วมาก คนเสพคอนเทนต์ที่รวดเร็วบนอินเทอร์เน็ต มันจะต้องมีวันหนึ่งที่เราอยากอยู่กับอะไรช้าๆ ค่อยๆ อ่าน ค่อยๆ ดูความสวยงามในรายละเอียดของแต่ละรูปแบบที่ไม่ใช่แค่ไถหน้าจอ กดไลก์ แล้วเลื่อนไปดูรูปต่อไป ก็เลยมั่นใจว่าเราอยากเขียนเป็นหนังสือออกมามากกว่า
แต่ไอ้ความคิดว่าจะทำทุกอย่างด้วยตัวเองนี่คิดนานมากนะครับ (หัวเราะ) คิดจนนาทีสุดท้าย บางช่วงก็คิดว่าเอาต้นฉบับไปลองเสนอก่อนดีไหม เราจะเอาอยู่จริงๆ เหรอวะ เพราะความรู้น้อยมาก หนังสือหนึ่งเล่มต้องใช้คนกี่คนยังไม่รู้เลย แล้วนี่ต้องดีลกับโรงพิมพ์เอง จัดการทุกอย่างเองทั้งหมด แต่มันคือความสนุก ความท้าทายขั้นต่อไปของชีวิต เหมือนเรากำลังเล่นเกมตะลุยด่านอยู่ ผมผ่านด่านการแสดง การทำรายการ การทำเพลงมาหมดแล้ว บอสตัวต่อไปที่ผมต้องเจอคือการทำหนังสือ ไม่ได้คิดด้วยว่าจะเจ๊งหรือไม่เจ๊ง แค่ตัดสินใจได้เลยว่าจะทำก็ลุยเลย
ภาพส่วนหนึ่งจาก: สำนักพิมพ์คนแคะ
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
- ชื่อหนังสือ ฉันออกเดินทางในวันที่ไม่มีแดด มาจากวันหนึ่งระหว่างการเดินทางที่ฝนตกและฟ้ามืดครึ้มตลอดเวลา และกันต์เห็นพระอาทิตย์ส่องแสงลงมาครั้งแรกตอนนั่งรถไฟ เขามองแสงแดดนั้นด้วยความรู้สึกดีใจ ไม่เหมือนกับที่เคยผ่านมา
- สามารถซื้อหนังสือ ฉันออกเดินทางในวันที่ไม่มีแดด ได้ที่บูทสำนักพิมพ์ Happening (I-11) ในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 23 หรือรอสั่งซื้อได้ที่เพจสำนักพิมพ์คนแคะเร็วๆ นี้