ในรอบปี 2567 ไม่ว่าจะเป็นคดีความใหญ่ที่น่าจับตา ประเด็นร้อนแรงที่เกิดขึ้นในสังคม ต่างถูกจุดฉนวนด้วยคนหรือกลุ่มคนที่เราเรียกว่า ‘อินฟลูเอ็นเซอร์’
ต้องยอมรับว่าอินฟลูเอ็นเซอร์กลายเป็นกลไกขับเคลื่อนความยุติธรรมที่สำคัญในสังคม ยิ่งมีฐานแฟนคลับมาก ประวัติส่วนตัวดี หลายเรื่องที่ถึงมือพวกเขาแล้วก็จะยิ่งรวดเร็วและเกิดแรงกระเพื่อมมากขึ้น
แม้วันนี้จะมีอินฟลูเอ็นเซอร์บางคนตกหล่นขบวน หลุดจากความน่าเชื่อถือไป แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไฟจากสปอตไลต์ยังไม่หยุดสาดแสงให้โดดเด่น
THE STANDARD พูดคุยกับ กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือที่รู้จักในชื่อ ‘กัน จอมพลัง’ หนึ่งในอินฟลูเอ็นเซอร์คนสำคัญที่มีฉากชีวิตตั้งต้นจากความต้องการล้างแค้น
บะหมี่ชามยักษ์สู่วันล้างแค้น
‘กัน จอมพลัง’ เล่าถึงความเป็นมาของชื่อที่คุ้นหูคุ้นตาคนว่า ก่อนหน้านี้เคยขายบะหมี่ชามยักษ์ในตลาดกลางคืน เรียกเมนูพิเศษนั้นว่า ‘บะหมี่จอมพลัง’ ซึ่งในยุคนั้นร้านของตัวเองถือเป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำบะหมี่ไซส์ใหญ่ที่ใหญ่ทั้งชามทั้งลูกชิ้น จนเป็นกระแสในโซเชียลยุคแรกๆ ตั้งแต่นั้นมาทำให้คนเริ่มรู้จักในฐานะเจ้าของร้านบะหมี่และใช้ชื่อนี้มาตลอด
“เรามองว่าตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ตัวเรายังเป็นกันคนเดิม แต่แค่เป็นเปลี่ยนบทบาท จากพ่อค้าลวกก๋วยเตี๋ยวมาเป็นคนที่ช่วยเหลือสังคม”
ส่วนที่มาของการช่วยคนมาจากประสบการณ์ตรงของตัวเอง ซึ่งเคยอยู่ในวงจรที่ไม่มีเส้นสายและไม่ร่ำรวย “เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งก่อนว่า ความยุติธรรมในประเทศไทย ส่วนหนึ่งมักจะเกิดกับคนที่ร่ำรวย คนที่มีนามสกุลดัง”
กันเล่าย้อนกลับไปสมัยเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวชามยักษ์ ขณะนั้นในร้านมีลูกน้องหลายคน ต่อมาจับได้ว่ามีลูกน้องโกงเงินของร้าน คนที่เอาเรื่องมาบอกกับตัวเองก็คือลูกน้องคนหนึ่งที่เขาไม่ได้ส่วนแบ่งมากเท่าคนอื่นจนรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม อารมณ์รุ่นพี่เบียดบังผลประโยชน์ของตัวเอง เลยตัดสินใจมาบอกเจ้านายซึ่งก็คือตัวเอง
ตอนนั้นที่รู้เรื่องกันยังเป็นแค่เจ้านายอ่อนหัด ทำได้แค่บอกให้ทุกคนที่โกงเงินไปให้เอาเงินมาคืน แต่ก็ลืมคิดไปว่าเด็กพวกนี้จะเอาเงินที่ไหนมาคืนได้มากขนาดนั้น ไม่ว่าจะรวมอย่างไรก็คงไม่ถึง 2 ล้านบาท แต่ด้วยความที่ยังใจดี ก็เลยให้โอกาสคนที่โกงเงินไปทยอยผ่อนคืน แบ่งจ่ายเป็นงวด แต่พอถึงวันที่ต้องคืน สิ่งที่เราได้ไม่ใช่เงิน แต่เป็นระเบิด ซึ่งกันเจอมาหลายรอบมาก
ถ้าคิดภาพไม่ออก ให้นึกถึงภาพยนตร์อินเดียที่มีระเบิดตูมตามในร้าน ข้าวของกระจาย พอตำรวจมาก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอตำรวจไปในคืนเดียวกันพวกที่ก่อกวนก็กลับมาทันที แค่คืนเดียวร้านบะหมี่ถูกก่อกวนได้มากถึง 4 รอบ แล้วการที่พวกนั้นหยุดไม่ปาระเบิดรอบที่ 5 ไม่ได้เกิดจากความสำนึก แต่เพราะตัวเขาประสบอุบัติเหตุ
กันเล่าต่อว่า หลังเกิดเหตุการณ์ที่ร้านได้เดินทางไปแจ้งความและโพสต์เล่าเรื่องในโซเชียลมีเดีย เพื่อตามหาว่าใครเป็นคนทำบ้าง สุดท้ายแทนที่เรื่องจะจบที่เราตามหาคนปาระเบิดได้ กลายเป็นว่าตนเองถูกดำเนินคดี พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และหมิ่นประมาท ซึ่งถ้ามองย้อนกลับไปตอนนั้นกันคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นคนแรกๆ ที่โดนดำเนินคดีหลังจากที่โพสต์ในโซเชียลมีเดีย และโดนแจ้งความว่าหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ส่วนคนที่แจ้งความดำเนินคดี 2 ฐานคือหนึ่งในลูกน้องที่มีเรื่องโกงเงินก่อนหน้านี้ บังเอิญว่าตัวเขามีนามสกุลดังระดับแนวหน้าของประเทศ กันอธิบายต่อว่า หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมคนนามสกุลดังมาเป็นลูกจ้าง ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่าการมีนามสกุลใหญ่มีทั้งคนนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับวงศ์ตระกูลนั้นหรือเป็นคนที่เพียงได้ใช้นามสกุล
“ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นามสกุลใหญ่พวกนั้นมันกลายเป็นเกราะ เป็นโลโก้ปกป้องคนที่ทำผิด มันกลายเป็นว่าการที่มีนามสกุลใหญ่ทำให้ได้รับความยุติธรรมไปในตัวและสิทธิพิเศษไปในตัว”
หลังถูกแจ้งความ 2 ข้อหา กลายเป็นว่าตำรวจเร่งรัดคดีที่กันหมิ่นประมาทและผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทำให้จากนั้นต้องเข้าสู่กระบวนการชั้นศาล ต้องประกัน ต้องสู้คดี แม้สุดท้ายจะสู้ชนะ แต่ไม่ได้อะไรชดเชยนอกจากหนังสือที่ยืนยันว่ากันบริสุทธิ์ ซึ่งที่ผ่านมาต้องเสียเงินค่าทนาย เสียเวลาในการทำมาหากิน สุดท้ายฝ่ายตรงข้ามก็ไม่ได้เสียอะไร เงินที่ถูกโกงไปก็ไม่ได้คืน
“ช่วงที่อยู่ในคุกศาลได้แต่คิดว่า ถ้าวันหนึ่งได้มีนามสกุลดังบ้าง ร่ำรวยบ้าง จะกลับมาช่วยคนที่เคยตกอยู่ในสภาพแบบตัวเอง คิดง่ายๆ เหมือนวันล้างแค้น”
ฐานของจอมพลัง
หลังผ่านเรื่องราววุ่นวายของร้านบะหมี่ กันเล่าว่า สิ่งที่ทำได้คือกลับมาตั้งหลัก ตั้งใจทำมาหากิน แต่ยอมรับว่าระหว่างทางที่สู้และตั้งหลักได้เจอผู้ใหญ่ใจดีหลายคนที่เห็นถึงความตั้งใจของตัวเอง และอยากสนับสนุนทั้งเรื่องของอาชีพและช่องทางความช่วยเหลือ เพื่อประสานทำเรื่องต่างๆ
กันเล่าว่า ตอนที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด สิ่งที่ขาดแคลนในช่วงแรกมากที่สุดคือรถพยาบาลที่ตอบรับ-ส่งคนป่วย ตัวเองมีกลุ่มเพื่อนอยู่กลุ่มหนึ่งชื่อว่า ‘พวกกัน’ มีสมาชิกประมาณ 100 คนที่ไว้นัดขับรถท่องเที่ยว ช่วงโรคโควิดที่ไม่สามารถรวมตัวออกไปเที่ยวได้ เลยมีความคิดที่จะเก็บเงินกองกลาง เพื่อเอาไว้ทำบุญโดยเฉพาะ
ทุกครั้งที่พวกเราอยากจะไปเที่ยวไหน เราก็เก็บเงินไว้ที่กองกลาง บางคนก็ใส่เดือนละ 30,000 บาท แตกต่างกันไป ซึ่งเวลาที่เรามีเรื่องที่อยากจะทำ อยากระดมทุน เพื่อช่วยเคสไหน เชื่อไหมว่าแต่ละครั้งใช้เวลาแค่แป๊บเดียวกลุ่มพวกกันสามารถระดมเงินได้ถึง 900,000 บาท โดยเพื่อนกลุ่มนี้ส่วนมากจะเป็นนักธุรกิจที่มีเงินและอยากช่วยสังคม
หลังจากที่ช่วงแรกเราระดมความช่วยเหลือสนับสนุนซื้อรถพยาบาล เพื่อรับ-ส่งคนฟรีๆ พอเรื่องรถแก้ปัญหาได้ ปัญหาต่อมาก็คือเตียงคนไข้ตามโรงพยาบาลไม่พอ ครั้งนี้แหละที่การที่เรารู้จักผู้ใหญ่ในสังคมเมื่อสมัยขายก๋วยเตี๋ยวได้เริ่มสนับสนุน ช่วยเหลือ ช่วยประสานหาเตียงให้กับกลุ่มคนที่ลำบากจริงๆ เช่น เด็ก, ผู้สูงอายุ, คนท้อง
หลังมีเงิน มีแรงสนับสนุน อาสาสมัครช่วงนั้นที่หามาได้เป็นการไปชักชวนเด็กๆ ในชุมชนคลองเตยให้มาทำงานนี้ สิ่งที่เราเห็นจากเด็กกลุ่มนี้ แม้พวกเขาจะมีชีวิตลำบาก แต่ก็มีหัวใจที่อยากช่วยเหลือสังคม
กันเล่าต่อว่า เมื่อจบการแพร่ระบาดของโรคโควิดกว่า 2 ปี การช่วยเหลือเรื่องรถพยาบาลและเตียงคนไข้ก็เปลี่ยนรูปแบบไป เราเริ่มได้ช่วยเรื่องสังคมอย่างจริงจังจากการช่วยกลุ่มเด็กอาสาสมัครที่มาช่วยทำงาน เด็กบางคนครอบครัวเขาถูกทำร้าย พี่น้องถูกกระทำชำเรา ถูกข่มขืน ตอนนั้นเราก็ใช้ฐานเดิมที่มีประสานผู้คน, หน่วยงาน, พรรคพวก มาช่วยเหลือกัน
ต้องยอมรับว่าฐานเรื่องการประสานงานต่างๆ ที่มาจากเราเร็วและได้ผลดี บางคดีจากที่ผู้เสียหายรอมา 9-10 เดือน หรือเป็นปี ทุกอย่างก็ดูรวดเร็วขึ้น จากนั้นพอกัน จอมพลัง ทำ 1 สำเร็จ มันก็เกิดการบอกเล่าแบบปากต่อปาก การขอความช่วยเหลือก็ถูกส่งเข้ามาเพิ่มขึ้น เพื่อนส่งมา นักข่าวส่งให้
นักร้อง-นักแฉ-นักช่วย
ในวงการของนักช่วยเหลือหรือนักขับเคลื่อนตอนนี้ กันยอมรับว่าอินฟลูเอ็นเซอร์ที่ออกมามีหลายบทบาทและรูปแบบ ทั้งนักร้อง, นักแฉ, นักช่วย ที่ผ่านมามีหลายคนที่พอเริ่มต้นมาจากการช่วยเหลือแล้ว จากนั้นแยกไปทำเส้นทางของตัวเองที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งก็มีให้เห็นทั้งเส้นทางที่ดีและไม่ดี
“แต่วันนี้เราอยากนิยามตัวเองว่าเป็นนักช่วย ไม่ใช่นักแฉ ส่วนจะเรียกว่าเป็นอินฟลูเอ็นเซอร์หรือไม่ก็คงแล้วแต่คนที่จะเรียก แต่ผมขอเรียกหน้าที่ตัวเองตอนนี้ว่านักช่วย”
กันกล่าวต่อว่า ตั้งแต่ยุคโรคโควิดมาจนถึงตอนนี้ก็ยังเลือกเดินสายช่วยเหลือต่อ ซึ่งไม่ได้ช่วยแค่ประชาชน แต่คู่ขนานกันได้มีโอกาสช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ด้วย เพราะการที่เรามีเรื่องเข้าไปร้องเรียนเจ้าหน้าที่ ทำให้เขาได้รู้ว่าในสังคมมันเกิดอะไรขึ้นอีกหลายอย่าง บางขั้นตอนที่เจ้าหน้าที่ประสานงานลำบาก การมีเราเข้าไปผลักดันก็ช่วยทำให้กลไกพวกนี้ลื่นไหลมากขึ้น
“เราต้องยอมรับว่าตำรวจเป็นอีกกลุ่มที่น่าสงสาร คนอาจจะเข้าใจว่าตำรวจต้องทำได้ทุกอย่าง แต่คนไม่ค่อยรู้ว่าการที่ตำรวจต้องไปประสานหน่วยงานอื่นๆ บางทีเขาก็ไม่ได้รับการเอื้ออำนวยเสมอไป การที่มีเราเข้าไปเสริมทำให้การทำงานของตำรวจสะดวกรวดเร็วขึ้น ตำรวจเองก็ปิดคดีได้เร็วขึ้น”
เราไม่ได้อยากให้ทุกคนไปมุ่งร้ายโจมตีเจ้าหน้าที่ว่าละเลย ล่าช้า แต่อยากให้มองว่ามันเป็นการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าคนเดือดร้อนจะมาที่เจ้าหน้าที่หรือมาที่ตนก่อน สุดท้ายมันก็คือเส้นทางเดียวกัน
“ผมเองก็ไม่ได้ทำได้ทุกอย่างบนโลก มันไม่ได้จบเรื่องทุกอย่างได้ที่คนเดียวได้ ฮีโร่มันคือทีม ในโลกแห่งความเป็นจริงมันไม่มีวันแมนโชว์”
แต่การที่ทุกวันนี้พ่อแม่พี่น้องเลือกมองหาเราเป็นอันดับแรกๆ เพื่อเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของสังคมตามกฎหมาย ยอมรับว่าดีใจที่ได้เป็นที่รักของทุกคน ดีใจที่ได้เป็นที่ไว้วางใจ และสิ่งที่ต้องทำต่อหลังได้รับความไว้วางใจก็คือต้องประคับประคองตัวเองไม่ให้ ‘จิตแตก’
“บทเรียนหนึ่งของสังคม ตราบใดก็แล้วแต่ คนที่มาจากการช่วยสังคมพอเริ่มเติบโตขึ้น เริ่มจิตแตก หลงใหลไปในผลประโยชน์ รีดเงิน เรียกผลประโยชน์ ทำให้ศรัทธาที่ประชาชนให้มันเปลี่ยนไปในทางที่ผิด ฉะนั้นเราจำเป็นที่จะต้องประคับประคองไม่ให้จิตแตก”
หนีไม่พ้นคำคน ทำดีทุกวันนี้คือการปูทาง?
กันตอบคำถามนี้อย่างชัดเจนว่า “ถ้าตอนนี้ผมเองคิดจะเล่นการเมือง ก็เชื่อว่าจะได้เสียงโหวตจากประชาชนมากมาย หรือแม้แต่การเมืองใหญ่ในรอบที่ผ่านมา มีนักลงทุนทางการเมืองติดต่อเข้ามาพร้อมจะลงทุนในตัวผมหลาย 30-40 ล้านบาท แค่ผมตัดสินใจที่จะเล่นการเมือง รับเงิน ลอยตัว ก็ทำได้ แต่ผมคิดว่าผมไม่อยากทำ”
การที่จะต้องเป็น สส. เพื่อให้สามารถช่วยคนได้ ทุกวันนี้การที่เราเป็น กัน จอมพลัง เราก็เป็น ส. เหมือนกัน แต่คือ ส.ค.ส. ส่งความสุขให้ชาวบ้าน เรายังช่วยชาวบ้านได้เหมือนกันโดยไม่ต้องมีตำแหน่งอะไรติดตัว
“เราอยากเป็นคนที่ไม่มีตำแหน่งแต่ช่วยคนได้ ถ้าการจะช่วยเหลือคนมันจำเป็นจะต้องเป็นคนมีตำแหน่ง ถ้าอย่างนั้นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้มีตำแหน่งก็จะผลักภาระให้คนที่มีตำแหน่งเท่านั้นหรือ ฉะนั้นถ้าเรามองกลับกัน วันนี้ไม่ว่าใครก็สามารถช่วยคนได้ มันก็จะเป็นเชื้อไฟที่ดี เพื่อให้ทุกคนออกมาช่วยเหลือคนได้เหมือนกัน”
จุดสูงสุดของการเป็น ‘กัน จอมพลัง’ อยู่ที่ไหน
คำถามนี้กันก็เคยถามกับคนอื่นว่า สุดท้ายชีวิตของ กัน จอมพลัง ปลายทางของการเป็นนักช่วยจะไปอยู่ที่ตรงไหน และแน่นอนว่าจนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้คำตอบ
แต่หนึ่งสิ่งที่ตัวเองรู้คือตำแหน่ง ส.ค.ส. ที่ได้คือตำแหน่งที่ทรงเกียรติและมีค่า ตำแหน่งนี้ไม่มีวาระ ไม่หมดสมัย และจะเป็นที่รักของคนมากขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ถึงจะยังไม่รู้ปลายทาง แต่ยืนยันว่าจะทำไปเรื่อยๆ
กันเปิดใจว่า บทเรียนหนึ่งที่ได้จากการเดินทางในเส้นทางนี้คือสังคมต้องการความยุติธรรมที่รวดเร็วในทุกด้านทุกมุม เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ พวกเขาก็ตั้งใจทำงาน แต่ระบบในบ้านเรามันอาจจะเทอะทะเกินไป
การที่ตัวเองได้ออกมาทำเรื่องแบบนี้ หลายหน่วยงานเองก็เหมือนเติบโตไปพร้อมกัน สังเกตได้จากที่พวกเขาเองก็เริ่มมีอินฟลูเอ็นเซอร์เป็นของตัวเอง มีคนที่ออกมาเดินหน้าชนกับเหตุการณ์ความอยุติธรรม เผชิญหน้ากับสื่อ ยอมรับปัญหา ยอมรับความเป็นจริงและแก้ไข
“เราก็ต้องพูดว่าเราดีใจที่เป็นตัวอย่างให้กับทุกคน ไม่แน่ว่าวันข้างหน้า ปลายทางของผมมันอาจจะจบลงที่สังคมไม่มีความเดือดร้อน ทุกคนมี กัน จอมพลัง เป็นหน่วยงานของตัวเอง ตอนนั้นตัวผมเองอาจจะมีเวลาได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว อยู่กับลูกแบบชิลๆ ก็ได้”
บันทึก 1 ปี
กันสรุปภาพรวมความช่วยเหลือสังคมตลอดระยะเวลา 1 ปี ว่า เรื่องที่ในช่วงเร็วๆ นี้ได้เจอบ่อยที่สุดคือเหยื่อจากแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ เพราะมิจฉาชีพเลือกใช้มุกเดิมๆ หลอกคนไทยมาได้หลายปี แต่แม้จะผ่านมาหลายปีคนไทยก็ยังหลงเชื่อ เพราะฉะนั้นน่าจะต้องถึงเวลาที่ท่านๆ ที่ดูแลต้องเอาจริงเอาจัง ต้องใส่ภูมิคุ้มกันให้กับคนและสังคม อาจจะเริ่มต้นจากการใส่ความรู้ไปในแบบเรียนให้จริงจัง การที่จะตัดวงจรนี้เราต้องกลับไปเริ่มที่จุดเริ่มต้น การที่ออกข่าวทุกวันแน่นอนว่ามีทั้งคนที่ดูข่าวและคนที่ไม่ได้ดูข่าว แต่ถ้ามันได้ย้อนไปที่จุดเริ่มต้นอาจจะเป็นสิ่งที่แก้ได้ดีกว่า
ส่วนอีกหนึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดมาไม่ใช่แค่ช่วงนี้คือการกระทำชำเราเด็ก ตั้งแต่ได้ทำงานช่วยสังคมเราเห็นบ่อยมาก ในความรู้สึกส่วนตัวมองว่าวันนี้โทษของคนที่ลงมือทำเรื่องแบบนี้มันเบาเกินไป เบาจนไม่มีตัวอย่าง เบาจนไม่ทำให้เกิดความเกรงกลัว
ถ้าถามว่าเจอมากขนาดไหน เรียกว่าในแต่ละสัปดาห์ 7 วันมีเด็กถูกกระทำชำเราที่ส่งเรื่องมาหาตนเองมากถึง 10 คน คำถามคือ สังคมนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น มันไม่ได้มีทีท่าที่จะน้อยลง แต่กลับเพิ่มขึ้นทุกวัน
“วันนี้เด็กๆ ที่ถูกกระทำชำเรา พวกเขาร้องขอความช่วยเหลือ ร้องขอความเมตตาจากคนที่กระทำ แต่พวกเขาไม่เคยได้โอกาส เด็กเหล่านั้นก็ยังถูกกระทำอยู่ดี แล้วทำไมสุดท้ายพวกที่กระทำชำเราต้องได้โอกาสที่จะลดโทษ ได้โอกาสที่จะกลับเข้าสังคม”
บันทึกที่ไม่เคยเลือนหาย
กันเล่าให้ฟังถึงหนึ่งเคสที่ได้ลงไปช่วยเหลือและจำรายละเอียดได้อย่างแม่นยำ คือเรื่องของเด็กหญิงอายุ 14 ปีที่ขอความช่วยเหลือผ่านคนข้างห้องพัก เด็กฝากข้อความมาว่า ‘ถ้าวันนี้ไม่ได้ไปช่วย น้อง 4 ขวบของเขาอาจจะตายได้’
ในวันนั้นกันกินข้าวอยู่กับครอบครัว พอได้รับข้อความนี้ก็ตัดสินใจรีบเดินทางทันที ตอนที่ไปถึงภาพที่เห็นคือเด็กตัวเล็กๆ อายุแค่ 4 ขวบ ตาบอด 2 ข้าง ปากแหว่ง กับเด็กอายุ 14 ปีที่เป็นคนขอความช่วยเหลือ ทีมงานตอนนั้นได้ช่วยเด็กทั้ง 2 คนออกมา
ซึ่งระหว่างนั้นแม่ของเด็กกลับมาพอดี และบอกว่าเด็กเป็นคนขี้โกหก เรียกร้องความสนใจ รอยแผลตามร่างกายและใบหน้าเกิดจากรถล้มกับแม่ แม่เด็กยืนยันว่าเด็กๆ โกหกสร้างเรื่อง แต่ ณ ตอนนั้นจากที่เราประเมินสภาพของเด็ก ทั้งคู่ไม่พร้อมที่จะอยู่กับแม่แล้ว เลยต้องประสานให้เจ้าหน้าที่พาเด็ก 2 คนออกไปรักษาตัว
หลังจากผ่านการช่วยเหลือเด็กทั้ง 2 คนประมาณ 2 สัปดาห์ ทีมกันและเจ้าหน้าที่ออกตามหาว่าครอบครัวนี้มีลูกอีกกี่คน น้องทั้ง 2 คนมีคนอื่นๆ ในครอบครัวหรือไม่ สืบไปเรื่อยๆ และพบว่าแม่มีลูกจำนวนมาก ส่วนพ่อเองก็มีภรรยามากถึง 5 คน มีลูกมาก แต่กลับไม่ปรากฏตัวว่าเด็กๆ อยู่ที่ไหน ผลสรุปคือลูกหายไป 5 คน
หลังจากมีข้อสงสัย ทีมย้อนกลับมาถามที่เด็กอายุ 14 ปี ซึ่งสามารถให้ข้อมูลได้แล้ว โดยยอมเล่าว่าพ่อกับแม่เป็นคนฆ่าน้องๆ และเอาไปโยนทิ้งตามสวนสาธารณะ ที่ผ่านมาเด็กอายุ 14 ปีเล่าให้ใครฟังก็ไม่มีใครเชื่อ เพราะถูกแม่พูดกับคนอื่นมาเสมอว่าเป็นเด็กขี้โกหก
กันเล่าต่อว่า เจ้าหน้าที่เริ่มตามหาความจริง สอบสวนพ่อกับแม่จนได้ความจริงว่า ลูกคนแรกที่เป็นศพถูกฝังปูนอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร แม่เป็นคนไปซื้อปูน ช่วยพ่อขุดหลุม และฝังน้องไว้ หลังจากนั้นก็กลับมากรุงเทพฯ
ส่วนแผลตามตัวของเด็ก 4 ขวบที่ช่วยออกมาได้ เกิดจากพ่อที่เป็นโรคเสพติดเสียงความเจ็บปวด เอามีดลนไฟแล้วนาบตามร่างกาย รวมไปถึงพ่อเองก็จะทำที่ตัวแม่ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าทั้ง 2 คนคือคนของเขา แม่เองรักสามีมาก สามีจะให้ฆ่าลูกหรือจะให้ทำอะไรก็ยอมทุกอย่าง
กันเล่าว่า ความโหดร้ายที่เกิดคือลูกๆ ทุกคนจะถูกตัดปาก เพื่อเอาภาพมาเปิดรับบริจาค ซึ่งน้อง 4 ขวบคนล่าสุดก็เช่นกัน และเมื่อเปิดรับบริจาคได้เงินเพียง 3,000 บาท ในคืนนั้นพ่อกับแม่เลยคิดที่จะฆ่าทิ้ง เป็นสาเหตุให้เด็กอายุ 14 ปี ขอความช่วยเหลือและกำชับมาว่าถ้าไม่ได้ช่วยวันนี้น้อง 4 ขวบจะตาย
“การที่เอาเรื่องเหล่านี้มาเล่าแน่นอนว่ามันเศร้ามาก แต่ ณ เวลาที่เราอยู่กับเด็กๆ ที่เขาต้องการความช่วยเหลือ เราคิดอย่างเดียวคือเราภูมิใจที่ได้ช่วย เราช่วยเด็กที่ยังมีชีวิตอยู่ให้เขามีชีวิตที่ดีกว่า เราช่วยเด็กที่ตายไปแล้ว ทำพิธีกรรมทางศาสนา เพื่อให้เขาไปสู่สุคติ มันเกิดความภูมิใจในหัวใจเรา”
ในมุมเล็กๆ ของจอมพลัง กันเป็นเพียงพ่อของเด็กหญิงหมี่เกี๊ยว
ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ หลังจากเราพูดคุยถึงเส้นทางการเป็น ‘กัน จอมพลัง’ ผู้ช่วยเหลือครอบครัวของคนอื่นๆ ผู้ชายที่เปิดหน้าท้าชนกับความอยุติธรรม
เราถามถึงมุมเล็กๆ ที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นกันกับครอบครัวตัวเอง
กันบอกว่า การที่เราไปดูแลครอบครัวคนอื่น เรื่องนี้ครอบครัวเราเองก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่เราอยากจะทำ พวกเขาก็สนับสนุน แต่ต้องยอมรับว่าช่วงแรกๆ พวกเขาเองก็เป็นห่วง เพราะเราทำหลายด้าน เราท้าชนกับกลุ่มเด็กที่มีปัญหา เราเปิดหน้าชนกับผู้มีอิทธิพล มีชื่อเสียง เพราะฉะนั้นแรกๆ เขาก็จะอดห่วงไม่ได้ แต่เวลาผ่านไปเขาเริ่มเข้าใจ และเราเองก็มีคนคอยดูแลความปลอดภัยด้วย ไปไหนเราก็มั่นใจมากขึ้น
คำว่า มีเวลาให้ครอบครัว ส่วนนี้ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เราบกพร่อง หลายครั้งตามเทศกาลสำคัญเราเองในฐานะพ่อนัดกับ น้องหมี่เกี๊ยว ลูกสาวว่าจะไปเที่ยวด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน แต่สุดท้ายพอมีเรื่องขอความช่วยเหลือมาเราก็ทิ้งเขา
แม้แต่ล่าสุดที่จะพาลูกไปดูพลุที่พัทยา ก็เปลี่ยนแผนไปช่วยน้ำท่วมที่ภาคใต้ เรามีเวลาให้พวกเขาค่อนข้างน้อย แต่เราก็เชื่อว่าพวกเขาจะภูมิใจ เพราะทุกครั้งที่เราไม่ได้ไปกับเขา ช่วงเวลาเหล่านั้นมีอีกหลายชีวิตที่เราช่วยได้
ถ้าในอนาคตหมี่เกี๊ยวได้อ่านบทความสัมภาษณ์พิเศษนี้
“อยากบอกว่าปะป๊ารักหมี่เกี๊ยวมากๆ ที่ทำทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่อหมี่เกี๊ยว ถึงอาจจะมีเวลาให้น้อย แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่รัก รักมากๆ”
ภาพ: กันจอมพลัง ช่วยสู้ / Facebook