×

กัลฟ์เซ็นสัญญาขายไฟฟ้าให้ กฟผ. 29 ปี จากโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Pak Beng ใน สปป.ลาว

22.09.2023
  • LOADING...
กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี

บริษัทร่วมทุน กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี (GULF) และรัฐวิสาหกิจจีน เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ ขายไฟฟ้าให้ กฟผ. นาน 29 ปี โดยจ่ายไฟจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Pak Beng ใน สปป.ลาว คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2576

 

รายงานข่าวระบุว่า ตามที่ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF ได้แจ้งให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2565 บริษัทฯ และ China Datang Overseas Investment Co., Ltd. (CDTO) ภายใต้เครือของ China Datang Corporation Ltd. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจและบริษัทพลังงานชั้นนำของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีโครงการผลิตไฟฟ้ากำลังการผลิตติดตั้งรวมกว่า 170,000 เมกะวัตต์ ครอบคลุม 13 ประเทศทั่วโลก ได้ร่วมกันลงนามบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้า (Tariff MOU) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพื่อพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำ Pak Beng (โครงการ Pak Beng) ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 912 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่บนแม่น้ำโขง เมืองปากแบ่ง แขวงอุดมไซ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) และจะผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ทั้งหมดให้แก่ กฟผ. นั้น

 

บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบว่า เมื่อวันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา Pak Beng Power Company Limited ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ และ CDTO ในสัดส่วน 49% และ 51% ตามลำดับ เพื่อดำเนินโครงการ Pak Beng ได้เข้าลงนามในสัญญาซื้อ-ขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement) กับ กฟผ. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสัญญาดังกล่าวมีระยะเวลา 29 ปีนับจากวันจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ และมีอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยที่ 2.7129 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง

 

ทั้งนี้ โครงการ Pak Beng มีมูลค่าการลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดหาเงินกู้กับสถาบันการเงิน โดยคาดว่าจะสามารถปิดการจัดหาเงินกู้ได้ภายในปลายปี 2567 และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 8 ปี โดยมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2576 

 

โครงการ Pak Beng เป็นโครงการที่ผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลและสภาแห่งชาติ สปป.ลาว ซึ่งได้ลงนามสัญญาสัมปทาน (Concession Agreement) กับรัฐบาล สปป.ลาว ไปแล้วเมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยถือเป็นหนึ่งในโครงการโรงไฟฟ้าภายใต้บันทึกความเข้าใจระหว่างไทยและ สปป.ลาว เรื่องความร่วมมือในการพัฒนาไฟฟ้าใน สปป.ลาว (MOU) เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) และเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงาน (Energy Transition) 

 

โดยภายใต้ MOU ประเทศไทยจะซื้อไฟฟ้าจากโครงการโรงไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นใน สปป.ลาว และเชื่อมโยงผ่านระบบส่งไฟฟ้าระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีกรอบปริมาณความร่วมมือในการซื้อ-ขายไฟฟ้าจำนวน 10,500 เมกะวัตต์ มีโครงการที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว 5,935 เมกะวัตต์ จำนวน 11 โครงการ โครงการที่ลงนามสัญญาซื้อ-ขายไฟฟ้าแล้ว 3,060 เมกะวัตต์ จำนวน 3 โครงการ และโครงการที่ลงนามบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้า (Tariff MOU) แล้ว 815 เมกะวัตต์ จำนวน 2 โครงการ 

 

ความร่วมมือภายใต้ MOU ดังกล่าวยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทย ที่มุ่งเน้นการเพิ่มสัดส่วนโรงไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาดที่จะเข้ามาในระบบ เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าที่จะหมดอายุรวมกว่าหมื่นเมกะวัตต์ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป และยังตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตจากการเพิ่มขึ้นของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อีกด้วย

 

ทั้งนี้ การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการ Pak Beng จะช่วยลดความผันผวนจากราคาเชื้อเพลิง และเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของประชาชนทั้งในภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม ให้ได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ต่ำตลอดอายุสัญญา เนื่องจากโครงการ Pak Beng มีต้นทุนผลิตไฟฟ้าที่ต่ำกว่าราคาค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในปัจจุบันที่ 4-5 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง 

 

อีกทั้งภายใต้ข้อกำหนดในสัญญาซื้อ-ขายไฟฟ้าโครงการ Pak Beng จะต้องมีการใช้วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ในการก่อสร้างโรงไฟฟ้า รวมถึงบุคลากร การจ้างงาน และการบริการจากประเทศไทย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศ จึงถือว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็นไปตามแผนการรับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่ระบุไว้ในแผนรับซื้อไฟฟ้าของประเทศ 

 

อย่างไรก็ตาม โครงการ Pak Beng เป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบน้ำไหลผ่านตลอดปี (Run-of-the-River) ไม่มีการกักเก็บน้ำในรูปแบบของเขื่อนประเภทอ่างเก็บน้ำ (Reservoir) และไม่มีการเบี่ยงน้ำออกจากแม่น้ำโขง จึงไม่ส่งผลกระทบต่อปริมาณน้ำในแม่น้ำโขง ซึ่งโครงการ Pak Beng ได้รับความเห็นชอบผลการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม รวมถึงเรื่องการระบายตะกอน ทางผ่านปลา การโยกย้ายถิ่นฐานของชุมชนในบริเวณโครงการ Pak Beng ใน สปป.ลาว และผลกระทบข้ามพรมแดน (Environmental and Social Impact Assessment: ESIA) จากรัฐบาล สปป.ลาว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

นอกจากนี้โครงการ Pak Beng ยังมีมาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบที่ครอบคลุมประเด็นสำคัญ ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC) เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินโครงการ Pak Beng จะเป็นไปตามมาตรฐานสากลและมีความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม รวมทั้งผู้มีส่วนได้เสียในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising