×

GULF รุกธุรกิจพลังงานทดแทนเต็มสูบ ตั้งเป้าสัดส่วน 30% ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมด ส่วนกำไรจากการดำเนินงานไตรมาส 2 โต 42%

13.08.2021
  • LOADING...
GULF

ปัจจุบันทิศทางพลังงานโลกได้เปลี่ยนจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมาเป็นพลังงานสะอาดมากขึ้น โดยมีเป้าหมายในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในปี 2593 ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ที่ประชาคมโลกซึ่งมีสมาชิกกว่า 190 ประเทศได้ร่วมลงนามไว้ เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นต่อการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ของโลก

 

ในส่วนของ บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) เล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาและดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน จึงได้กำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจที่มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐและทิศทางของโลก โดยยึดมั่นในนโยบายไม่ลงทุนในธุรกิจถ่านหิน (No Coal Policy) อีกทั้งได้ตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 30% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมภายในปี 2573 

 

ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน ทั้งในแถบประเทศยุโรป แถบประเทศเอเชีย รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นเพื่อให้การกำหนดทิศทางดำเนินธุรกิจของบริษัทเกิดความชัดเจน และพร้อมรองรับการขยายตัวของธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนต่อไปในอนาคต คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้บริษัทจัดโครงสร้างการลงทุนในกลุ่มบริษัทใหม่ โดยเปลี่ยนชื่อบริษัทย่อยคือ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่ง GULF ถือหุ้น 100% มาเป็น บริษัท กัลฟ์ รีนิวเอเบิล เอ็นเนอร์จี จำกัด (Gulf Renewable Energy) 

 

โดยนำบริษัทย่อยที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดของบริษัทที่ดำเนินการอยู่ อาทิ โครงการพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเยอรมนี (BKR2) โครงการพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม โครงการโซลาร์รูฟท็อปและพลังงานชีวมวลที่ประเทศไทยและอื่นๆ มาบริหารงานภายใต้ Gulf Renewable Energy อีกทั้งการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอื่นๆ ในอนาคต จะดำเนินการภายใต้ Gulf Renewable Energy เช่นกัน

 

ทั้งนี้การปรับโครงสร้างการลงทุนดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อสัดส่วนการลงทุนสุทธิ (Effective Shareholding Ratio) ของบริษัทในบริษัทย่อย และไม่เข้าข่ายเป็นรายการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ. 20/2551 เรื่องหลักเกณฑ์ในการทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ของบริษัทจดทะเบียน

 

พร้อมกันนี้ ยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินของ GULF เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 โดยมีกำไรจากการดำเนินงานจำนวน 1,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 412 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ผลกำไรของโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) หน่วยที่ 1 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564 

 

ประกอบกับโครงการโรงไฟฟ้า 12 SPP ภายใต้กลุ่ม GMP และโครงการโรงไฟฟ้า 7 SPP ภายใต้กลุ่ม GJP ที่รับรู้กำไรมากขึ้นจากปริมาณการขายไฟฟ้าให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรมที่สูงขึ้นในทุกภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มยานยนต์ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เหล็ก 

 

ทั้งนี้เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2564 กำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสนี้ลดลง 989 ล้านบาท หรือคิดเป็น 41.4% เนื่องจากไม่มีการบันทึกเงินปันผลรับจาก INTUCH ในไตรมาสนี้ และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเล Borkum Riffgrund 2 (BKR2) มีปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลงจากปัจจัยด้านฤดูกาล ซึ่งไตรมาส 2 และไตรมาส 3 นับเป็น Low Season เมื่อเทียบกับ ไตรมาส 1 และ ไตรมาส 4 ซึ่งถือเป็น High Season ของพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเยอรมนี 

 

อย่างไรก็ตาม GULF มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ ซึ่งรวมผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเท่ากับ 1,407 ล้านบาท ลดลง 25.2% เทียบกับปีก่อนที่ทำได้ 1,881 ล้านบาท เนื่องจากในปีก่อนมีผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง (Unrealized Gain) จำนวน 892 ล้านบาท เทียบกับ 6 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปีนี้

 

ในส่วนของการเข้าถือหุ้น INTUCH ในสัดส่วน 42.25% GULF ได้ทำการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในประเทศทั้งสิ้นจำนวน 48,612 ล้านบาท โดย GULF มีแผนในการออกและเสนอขายหุ้นกู้มูลค่ารวมประมาณ 20,000 ล้านบาทภายในปีนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ไปลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ และชำระคืนเงินกู้ที่ใช้ในการซื้อหุ้น INTUCH ในบางส่วน นอกจากนี้บริษัทจะรับรู้เงินปันผลรับทันที ประมาณ 1,600 ล้านบาท ในไตรมาส 3 นี้

 

สำหรับแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลังของปี 2564 GULF ยังมีโครงการที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในทะเลที่ประเทศเวียดนาม (Mekong Wind) ระยะที่ 1-3 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 128 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยเปิดดำเนินการระหว่างไตรมาส 3-4 ปีนี้, โครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 2 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ ที่กำหนดเปิดดำเนินการในเดือนตุลาคม 2564, โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติที่ประเทศโอมาน (DIPWP) จำนวน 326 เมกะวัตต์ ระยะที่ 1 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 40 เมกะวัตต์ ที่จะเปิดดำเนินการระหว่างไตรมาส 3-4 และโครงการ Solar Rooftop ภายใต้ Gulf1 กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 20 เมกะวัตต์ ที่จะทยอยเปิดดำเนินการภายในสิ้นปี ส่งผลให้ GULF มีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมทั้งสิ้น 7,922 เมกะวัตต์ ณ สิ้นปี 2564

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising