×

GULF – มีปัจจัยกระตุ้นการเติบโตที่ชัดเจนรออยู่ข้างหน้า

15.05.2025
  • LOADING...
gulf-business-expansion-growth-2025

เกิดอะไรขึ้น:

 

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2568 บมจ.กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) รายงานผลประกอบการ 1Q68 โดยมีกำไรสุทธิ 5.4 พันล้านบาท (ก่อนควบรวม) เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น 54.2%YoY และ 38.3%QoQ โดยได้แรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและร่วมค้าที่ 3.1 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 71.5%YoY และ เพิ่มขึ้น 28.7%QoQ)

 

หลักๆ มาจากส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก INTUCH ซึ่งรับรู้ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจาก ADVANC รวมถึงโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) หน่วยที่ 2 ที่เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 และโรงไฟฟ้าพลังงานลม GGC ซึ่งมีปริมาณการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามความเร็วลมที่เพิ่มขึ้นมาก

 

โมเมนตัมกำไรในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังแข็งแกร่ง ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนให้กำไรเติบโตคือ:

 

1.การทยอย COD ของโครงการโซลาร์ฟาร์ม 5 แห่ง (+308MW) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) 2 แห่ง (+289MW)

 

2.การติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปเพิ่มเติม (+110MW) ภายใต้ GULF

 

3.Data Center เฟสแรก (GULF ถือหุ้น 40%) ซึ่งคาดว่ารายได้จะเข้ามาเต็มที่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2568 เป็นต้นไป

 

4.กำไรที่เพิ่มขึ้นจาก ADVANC (GULF ถือหุ้น 40.4%) เนื่องจากคาดว่ารายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งาน (ARPU) จะเติบโตและกำไรมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นหลังการประมูลคลื่นความถี่

 

5.โรงไฟฟ้า Jackson (1,200MW) ในสหรัฐฯ (GULF ถือหุ้น 49%) ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลบวกจากค่าพลังไฟฟ้า (CP) ที่สูงขึ้นมาก โดยราคาประมูล CP ล่าสุดในตลาด PJM (Mid-Atlantic & Midwest) เพิ่มขึ้นจาก US$28.92/MW-day เป็น US$269.92/MW-day สำหรับช่วงวันที่ 1 มิถุนายน 2568 – 31 พฤษภาคม 2569 ซึ่งคาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มเติมราว 1 พันล้านบาท สำหรับ 2H68 และอีก 1 พันล้านบาท สำหรับ 1H69

 

GULF คาดว่าจะได้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ Jackson จำนวน US$20 ล้าน หรือ 700 ล้านบาท ใน 2H68 ซึ่งสูงกว่าประมาณการตามหลักอนุรักษ์นิยมที่ประเมินส่วนแบ่งกำไรได้ที่ 50 ล้านบาท ในปี 2568 นอกจากนี้ยังคาดว่าจะมีกำไรที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจำนวนมากถึง 4.5 หมื่นล้านบาท จากการต่อรองราคาซื้อซึ่งคาดว่าจะบันทึกใน 2Q68 ด้วย

 

สำหรับการลงทุนใน KBANK (ปัจจุบัน GULF ถือหุ้น 3.49%) บริษัทคาดว่าจะรับรู้รายได้จากเงินปันผลจำนวน 820 ล้านบาท ใน 2Q68 ผู้บริหารของ GULF กล่าวว่าการซื้อหุ้น KBANK เพิ่มถึงระดับ 5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดจะต้องรายงาน ก.ล.ต. และระดับ 10% จะต้องขออนุมัติจาก ธปท.

 

InnovestX Research เชื่อว่า GULF เข้าลงทุนใน KBANK เนื่องจากปันผลอยู่ระดับสูง และ P/E Ratio ที่ต่ำ หาก GULF เข้าซื้อหุ้น KBANK เพิ่มในระดับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์

 

ขณะที่คาดว่าบริษัทจะได้รับประโยชน์จาก synergy ที่รวมถึงการแบ่งปันข้อมูลระหว่าง ADVANC (ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 45 ล้านราย และผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 5 ล้านราย) และ KBANK (บัญชี mobile banking 23.1 ล้านบัญชี) เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจอื่นๆ เช่น การผนึกกำลังด้าน Fintech และธนาคารดิจิทัล

 

กระทบอย่างไร:

 

ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาหุ้น GULF ปรับขึ้น 4.8% สู่ 49.50 บาท ขณะที่ SET Index ปรับขึ้น 2.2% สู่ 1,214.39 จุด

 

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ:

 

InnovestX Research แนะนำ OUTPERFORM สำหรับ GULF โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 70 บาทต่อหุ้น (WACC 4.9% และ terminal value 1.6%) และเลือกเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มสาธารณูปโภค

 

ส่วนด้าน valuation ของ GULF น่าสนใจ โดยอัตราส่วน P/E ปี 2568 ลดลงจากระดับ 32 เท่าก่อนควบรวมกิจการ มาอยู่ที่ 30 เท่า นอกจากนี้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลก็เพิ่มขึ้นจาก 1.9% มาอยู่ที่ 2.3%

 

และคาดการณ์ถึง sentiment เชิงบวกจากวงจรอัตราดอกเบี้ยขาลงทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลดีต่อ GULF เนื่องจากธุรกิจของบริษัทต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก ทำให้จำเป็นต้องจัดหาเงินทุนด้วยการกู้ยืมค่อนข้างสูง (ปกติแล้วสัดส่วนหนี้สินต่อทุนจะอยู่ที่ 3:1) ดังนั้นจึงคงมุมมองเชิงบวกต่อความแข็งแกร่งของผลประกอบการในระยะ 1-2 ปีข้างหน้าของ GULF

 

ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการใหม่ต่ำกว่าคาด และการเปลี่ยนแปลงด้านกฎระเบียบ ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล

 

GULF – มีปัจจัยกระตุ้นการเติบโตที่ชัดเจนรออยู่ข้างหน้า

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising