อากาศเริ่มเย็นช่วงปลายปีแบบนี้ หลายคนต้องเริ่มหาที่เที่ยวรับลมหนาวกันแล้วแน่ๆ และหนึ่งในสถานที่ที่หลายคนต้องนึกถึงมากที่สุดก็คือ ‘เขาใหญ่’ ที่นอกจากจะมีธรรมชาติสีเขียวสวยงามแล้ว ก็ยังมีสถานที่น่าสนใจอีกมากให้พวกเราออกค้นหา
แต่หนึ่งในนั้นที่เชื่อว่าหลายคนยังไม่เคยนึกถึงก็คือ การเที่ยวชมไร่ไวน์ ซึ่งเขาใหญ่มีไร่องุ่นและนักผลิตไวน์อยู่ไม่น้อย ที่สามารถสร้างสรรค์ไวน์สัญชาติไทยได้มีคุณภาพไม่แพ้แบรนด์นำเข้า
เพราะฉะนั้นหากใครอยากรู้ว่าจะเปลี่ยนองุ่นเป็นเครื่องดื่มสุดประณีตได้อย่างไร ไวน์ไทยรสชาติแตกต่างแค่ไหน หรือไวน์เมกเกอร์ตัวจริงเขาต้องทำอะไรบ้างจนกว่าจะได้ออกมาเป็นเครื่องดื่มให้พวกเราจิบกัน เราขอชวนทุกคนไปทัวร์ไร่องุ่นที่เขาใหญ่ ดีกรีผู้ผลิตไวน์ดีเด่นแห่งประเทศไทย ‘GranMonte’ ที่เปิดให้ทุกคนมาเที่ยวชมและนอนพักในไร่ได้ตลอดทั้งปี
GranMonte เป็นไร่องุ่นที่ดูแลโดยคนไทย เริ่มปลูกองุ่นมาตั้งแต่ 23 ปีก่อน เพราะฉะนั้นนี่คืออายุของต้นองุ่นที่แก่ที่สุดด้วย โดยมี นิกกี้-วิสุตา โลหิตนาวี ลูกสาวคนโตของครอบครัวโลหิตนาวีทำหน้าที่เป็นไวน์เมกเกอร์ คอยควบคุมการผลิตและดูแลไร่ทุกอย่าง ซึ่งนิกกี้ถือเป็นไวน์เมกเกอร์ (หรือ Oenologist) คนแรกของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพราะเธอเรียนจบด้านการทำไวน์โดยตรงจาก University of Adelaide ประเทศออสเตรเลีย
ส่วนจุดเริ่มต้นการทำไร่ไวน์ก็ไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากคุณพ่อและคุณแม่ของเธอชอบดื่มไวน์ ครอบครัวจึงช่วยกันเปลี่ยนที่ดินร้อยไร่บนเขาใหญ่ให้กลายเป็นไร่องุ่นที่สามารถผลิตไวน์ได้ในแบบที่ตัวเองชอบ
การเที่ยวชมไร่จะเริ่มจากการนั่งรถชมต้นองุ่น แม้ในช่วงที่เราแวะไปจะ Off Season ไปสักหน่อยจนมีแต่ใบเขียว แต่เอาเป็นว่าไร่จะดูสวยงามเริ่มมีดอกให้เห็นตั้งแต่ช่วงปลายปีประมาณเดือนพฤศจิกายน ก่อนจะเริ่มออกผลฉ่ำๆ เต็มไร่พร้อมเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนกุมภาพันธ์
โดยที่นี่จะปลูกองุ่นอยู่ประมาณ 10 กว่าสายพันธุ์ เช่น Syrah, Cabernet Sauvignon, Chenin Blanc, Verdelho, Sauvignon Blanc, Barbera, Marsanne และ Roussanne ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดจะใช้สำหรับทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในไร่ ไม่ใช่เฉพาะไวน์เท่านั้น เช่น แยม ลูกเกด หรือใช้เป็นส่วนผสมในอาหารที่เสิร์ฟในไร่
ส่วนโรงงานไวน์จะสามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งปี พร้อมมีพนักงานในไร่คอยเดินนำเล่าเกี่ยวกับการทำไวน์ให้ฟังอย่างสนุกสนาน เริ่มตั้งแต่การเก็บเกี่ยวด้วยมือ การหมักบ่ม ไปจนถึงการดูแลรักษา
โดยที่นี่จะผลิตไวน์ได้ 3 แสนขวดต่อปี ส่งออกไปในหลายประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และออสเตรเลีย รวมถึงไทยด้วย
อีกหนึ่งความน่าสนใจของที่นี่คือ น้ำองุ่นระหว่างการบ่มจะถูกรักษาในถังไม้โอ๊กนำเข้า ซึ่งถังแต่ละใบนิกกี้บอกว่าจะใช้งานเพียง 4 ครั้งเท่านั้น เมื่อครบก็ต้องซื้อถังใบใหม่ นี่จึงอาจเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้ไวน์มีราคาสูง เพราะถังแต่ละใบราคาสูงลิ่วเช่นเดียวกับอุปกรณ์บางอย่างที่ต้องสั่งทำโดยเฉพาะ อาทิ ชั้นวางพักขวดที่ต้องมีขนาดและองศาพอดีกับขวดที่ไร่ใช้
ส่วนถังที่ถูกปลดประจำการแล้วนิกกี้บอกว่านำไปใช้ประโยชน์ได้อีก อย่างในไร่จะนำไปทำเป็นโต๊ะวางสินค้า หรือบางคนก็ซื้อต่อนำไปหมักเมล็ดกาแฟให้มีกลิ่นไวน์ ซึ่งเมล็ดนั้นมีให้สั่งชิมที่คาเฟ่ของไร่ด้วย
ถ้าใครอยากรับประสบการณ์แบบเต็มเปี่ยม ไร่ก็มีที่พักให้นอนค้างแบบใกล้ชิดธรรมชาติด้วยนะ เมื่อตื่นเช้ามาจะออกไปปั่นจักรยานชมไร่ก็ได้ แล้วค่อยไปนั่งกินอาหารเช้าที่ VinCotto ร้านอาหารประจำไร่ GranMonte
อีกทั้งไม่ต้องกลัวว่ามื้ออื่นๆ จะต้องหิ้วท้องไปหาอะไรกินข้างนอก เพราะที่ร้านอาหารนี้มีเมนูจานใหญ่รสชาติจัดเต็มเสิร์ฟให้กินตลอดทั้งวัน
หากใครอยากแวะมาชมไร่ไวน์ช่วงฤดูหนาวเราแนะนำให้จองล่วงหน้า เพราะจะเปิดรับเป็นรอบเท่านั้น สำหรับฤดูกาลนี้จะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 – มกราคม 2566 โดยมีค่าใช้จ่าย ผู้ใหญ่ราคา 450 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี 350 บาท ราคานี้รวมการเทสติ้งและของว่าง และการเที่ยวชมทั้งหมดใช้เวลา 1 ชั่วโมง 15 นาที สอบถามหรือสำรองที่นั่งได้ที่ GranMonte Vineyard and Winery หรือโทร 09 2806 7755