หลังจากเริ่มเปิดให้บริการในประเทศไทยในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2563 สำหรับ ‘GrabMart’ ซึ่งเป็นบริการสั่งซื้อสินค้าแบบออนดีมานด์จากซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าทั่วไป ซึ่งพบว่ามีการเติบโตที่รวดเร็ว จึงเล็งขยายไปต่างจังหวัด และจับมือร้านโชห่วยให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
การเติบโตของ GrabMart เป็นผลมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะตลาด Quick Commerce ที่แม้ความนิยมและมูลค่าตลาดอาจจะยังไม่สามารถเทียบเท่ากับธุรกิจอีคอมเมิร์ซได้ แต่ถือเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพและโอกาสในการเติบโตสูงมาก โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มของสดและของชำ (Online Grocery) ซึ่งปัจจุบันมีอัตราการเข้าถึง (Penetration Rate) หรืออัตราการซื้อสินค้าประเภทนี้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เพียง 2% เท่านั้น
โดยผู้ใช้บริการให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัยหลักเมื่อต้องเลือกซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันแบบออนดีมานด์ นั่นคือ การมีสินค้าที่หลากหลายให้เลือกสรร การจัดส่งที่รวดเร็ว และราคาที่เข้าถึงได้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- หมดยุคเผาเงิน! Grab หวังไปถึงจุดคุ้มทุนช่วงครึ่งหลังของปี 2024 แม้รายได้จะเริ่มโตชะลอจากช่วงโควิดที่ผ่านมา
- Grab ถอดใจ ‘ธุรกิจเดลิเวอรี’ น่าจะยังไม่ถึงจุด ‘คุ้มทุน’ ภายในปี 2023 เร่งทำกำไรท่ามกลางสายตานักลงทุน
- Grab ผุดธุรกิจใหม่ ‘Digital BagAds’ โฆษณาเคลื่อนที่บนกระเป๋าคนขับ เคาะราคาทดลอง 18,000 บาท/เดือน
จันต์สุดา ธนานิตยะอุดม ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด-พันธมิตรทางธุรกิจ และธุรกิจแกร็บมาร์ท แกร็บ ประเทศไทย เผยว่า GrabMart เปิดให้บริการใน 7 ประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย, สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ และเมียนมา
“3 ประเทศที่ GrabMart มีการเติบโตโดดเด่น ได้แก่ ไทย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย โดยปัจจุบันในประเทศไทยมีสินค้ากว่า 180,000 รายการ มีสินค้ารวมทั้งสิ้น 15 หมวดหมู่ ร้านค้ากว่า 15,000 สาขา และให้บริการใน 68 หัวเมืองทั่วประเทศ”
ผู้ใช้บริการ GrabMart 54% มีอายุระหว่าง 25-34 ปี 64% แต่งงานและมีลูก 65% เป็นพนักงานออฟฟิศ โดยส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง
โดย 5 อันดับสินค้าขายดี (ในเดือนสิงหาคม 2565) ได้แก่ ไข่ไก่, หมูสับ, มะนาว, แตงกวา และพวงมาลัย ซึ่งที่ผ่านมา GrabMart จำหน่ายชุดตรวจ ATK ไปแล้วกว่า 1.2 ล้านชุด (หรือเทียบเท่ากับ 2% ของประชากรไทย)
ช่วงเวลาที่มีการสั่งซื้อสินค้าผ่าน GrabMart สูงสุดของวันคือ 11.00-13.00 น. และ 17.00-19.00 น. โดยเวลาเฉลี่ยในการจัดส่งสินค้าที่สั่งผ่าน GrabMart คือ 25 นาที ซึ่งเร็วกว่าเวลาที่ใช้ในการเดินทางบนท้องถนนของกรุงเทพฯ ช่วงเช้า และนับตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการ GrabMart จำหน่ายผลไม้ไปแล้วมีน้ำหนักรวมกว่า 5 ล้านกิโลกรัม
จันต์สุดากล่าวว่า GrabMart เดินหน้าสร้างการเติบโตทางธุรกิจ และขยายฐานผู้ใช้ผ่านการทำแคมเปญการตลาดและส่งเสริมการขาย เพิ่มหมวดหมู่ของสินค้าให้ครอบคลุมและหลากหลายมากขึ้น ตลอดจนพัฒนาเทคโนโลยี แอปพลิเคชัน เช่น การใช้ระบบ AI ในการนำเสนอดีลส่วนลดจากร้านค้าในรัศมีของผู้ใช้บริการ เป็นต้น
“GrabMart มีแผนที่จะขยายพื้นที่ให้บริการในต่างจังหวัด และในส่วนของจังหวัดที่ให้บริการอยู่แล้ว เช่น อุบลราชธานี อุดรธานี และภูเก็ต ก็จะเน้นขยายจำนวนและประเภทร้านค้าให้มีความครอบคลุมยิ่งขึ้น”
