ทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) งานแถลงข่าว ‘กบข. เปิดผลการดำเนินงานปี 2567 และแนวทางลงทุนปี 2568’ ระบุว่า ในปี 2567 กบข. ได้มีการทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยลงทุนในระดับประมาณ 4% หลังจากเห็นว่าตลาดหุ้นไทยมีราคาปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่องจนมีมูลค่าที่ถูกและมีความน่าสนใจ
พร้อมทั้งมีการปรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงต้นไตรมาส 3/2567 ที่ผ่านมาจากเดิมที่ลงทุนบนดัชนี SET50 โดยปรับเปลี่ยนนโยบายมาลงทุนใน SET50FF (Fee Float) โดยพิจารณาเลือกลงทุนเป็นหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีมีโอกาสการเติบโต รวมทั้งมีความสามารถในการจ่ายเงินปันผลที่สูง
ทั้งนี้ส่งผลให้ในปี 2567 มีผลตอบแทนการลงทุนเฉพาะส่วนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย หากรวมผลแทนจากส่วนต่างกำไร (Capital Gain) กับเงินผลลัพธ์ ยังสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นบวกได้ และสามารถเอาชนะภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปี 2567 ที่ติดลบได้
ทรงพลยังกล่าวต่อว่า ในช่วงต้นปี 2568 กบข. ได้ทยอยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเมื่อเปรียบเทียบจากปี 2567 เนื่องจากตลาดหุ้นไทยที่ราคาปรับตัวลดลงมาต่อเนื่องนับเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานที่ดีและมีมูลค่าที่เหมาะสม
โดยประเมินว่า กลุ่มหุ้นหรือธุรกิจที่มีโอกาสเห็นการเติบโตได้แก่ กลุ่มโรงแรม รวมทั้งกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว, การขนส่งเดินทาง, ธุรกิจโรงพยาบาล, การบริโภคของประเทศ
ทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการ กบข. ให้ข้อมูลในงานแถลงข่าว กบข. เปิดผลการดำเนินงานปี 2567 และแนวทางลงทุนปี 2568
“หุ้นที่ กบข. เลือกลงทุนเราต้องมีความเข้าใจในธุรกิจ และมีความเชื่อมั่นว่ามีโอกาสเติบโตได้ เพราะทุกตลาดหุ้นมีความเสี่ยงทั้งหมด เพียงเราต้องเลือกในหุ้นที่เรามีความเข้าใจ การลงทุนในหุ้นไทยในช่วงที่ราคาลงมาเยอะก็มีการ Rebalance พอร์ต ทยอยเพิ่มสัดส่วนเพิ่มขึ้นเพราะเป็นตลาดที่เรามีความเข้าใจ” ทรงพลกล่าว
สำหรับภาพรวมการลงทุนในปี 2568 ประเมินว่าจะเห็นความผันผวนมากกว่าปี 2567 จากผลกระทบของนโยบายการกีดกันทางการค้า, การตั้งกำแพงภาษี ซึ่งจะมีผลกระทบต่อภาพรวมการลงทุนในปีนี้อย่างต่อเนื่อง
โดยปัจจุบันพอร์ตลงทุนของกบข. มีนโยบายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ สัดส่วนไม่เกิน 60% และในประเทศอีก 40% โดยมีการลงทุนทั้งในตลาดหุ้น, ตราสารหนี้ รวมทั้งสินทรัพย์ทางเลือก เช่น อสังหาริมทรัพย์, บริษัท บริษัทเอกชนที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหุ้น (Private Equity) ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นในตลาดพัฒนาแล้ว (Developed Market) กับ เศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ Emerging Market จะยังให้ความสำคัญลงทุนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประเมินว่าจะยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนที่ดี
อีกทั้งภายในปีนี้จะเริ่มลงทุนผ่านกองทุนที่ลงทุนในโครงการที่อยู่อาศัยหลังเกษียณ (Retirement Complex) ในต่างประเทศ เนื่องจากมีความสนใจในโครงการดังกล่าวเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการลงทุนในประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เพราะถือว่าสอดคล้องกับนโยบายการลงทุนของกบข.ที่มีการลงทุนโครงการอสังหาฯ ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนอาคารสำนักงาน และ โรงแรม
ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ปัจจุบันยังไม่ได้มีการลงทุนในสินทรัพย์กลุ่มดังกล่าวเพราะยังไม่ความเข้าใจเพียงพอ
เป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนของ กบข.
โดยในปี 2568 จะพยายามสร้างผลตอบแทนให้เป้าหมายผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวชนะอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง อยู่ที่ระดับ 0.9% บวกกับ 2% ซึ่งใน 2567 กบจ.สามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนได้ดังนี้
- ส่วนของสมาชิก 4.12%
- ผลตอบแทนแผนสมดุลตามอายุ สัดส่วนใหม่ 8.93%
- แผนทองคำ 24.67%
- แผนหลัก 3.73%
ผลตอบแทนการลงทุนของ กบข. ในปี 2567
โดย ณ สิ้นปี 2567 กบข. มีขนาดกองทุนใหญ่ขึ้น 1.06 แสนล้านบาท รวมมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ รวมเงินสำรอง ที่ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ดี ภาพรวมนโยบายพอร์ตลงทุนของ กบข.ในปีนี้ และจัดทำ Strategic Asset Allocation (SAA) ฉบับใหม่ ที่จะกำหนดกรอบนโยบายการลงทุนระหว่างปี 2569-2571 ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ลงจากเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับนิยามของสินทรัพย์ของ กบข. ใหม่ จากเดิมที่กำหนดกลุ่มสินทรัพย์ออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ Risky Assets กับ Safety Assets เปลี่ยนมาเป็น Growth Assets กับ Defensive Assets โดยเห็นว่าปัจจุบันการลงทุนในตราสารหนี้ แม้เป็นการลงทุนกลุ่ม Investment Grade มีความเสี่ยงสูงเช่นกันจากประเด็นการผิดชำระหนี้ และยังเป็นตราสารที่ไม่มีหลักค้ำประกัน
ส่วน SAA ฉบับใหม่จะให้น้ำหนักกับปัจจัยสำคัญ ดังนี้
- ประเภทสินทรัพย์ลงทุน
- การเติบโตประเทศของสินทรัพย์ที่จะเข้าไปลงทุน
- ความเสี่ยง
- อัตราแลกเปลี่ยน
ปัจจุบัน กบข.มีข้าราชการที่เป็นสมาชิกจำนวนประมาณ 1.2 ล้านรายซึ่งแต่ละรายจะมีรูปแบบการออมที่มีความแตกต่างกัน โดยในปี 2567 ที่ผ่านมาถือว่ามีความท้าทายในหลายด้านและเผชิญปัจจัยเสี่ยงในหลายๆ เรื่องทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน รวมทั้งฮามาสกับอิสราเอลที่ยังคงยืดเยื้อ โดยในแต่ละช่วงเวลาที่มีสถานการณ์จะมีความรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งยังมีสถานการณ์สงครามการค้า (Trade War) ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่าน โดยมีการเลือกตั้งในหลายประเทศซึ่งสหรัฐฯ มีโดนัลด์ ทรัมป์ มาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่
“ในปี 2567 ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่ามีความผันผวนเกิดขึ้นเยอะมาก ซึ่งหลายความผันผวนที่เกิดขึ้นนั้นทำให้มีการเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งในศัพท์นักลงทุนเรียกว่าทำให้เกิดการลากไปกิน Stop Loss ได้แบบไม่ยาก บางคนซื้อสินทรัพย์ถือไว้จำนวนมากๆ เมื่อราคาลงมากๆ และรวดเร็ว ก็จำเป็นต้องขายขาดทุนออกมาเป็นโอกาสของผู้ลงทุนบางคนและก็เป็นความเสี่ยงของผู้ลงทุนบางคนด้วย” ทรงพล กล่าว
พร้อมทั้งคาดว่า สินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ของ กบข. ภายในสิ้นปี 2569 จะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.6 ล้านล้านบาท จากปัจจุบัน 1.4 ล้านล้านบาท สอดคล้องไปกับการออมที่เพิ่มขึ้นของสมาชิกที่เฉลี่ยต่อปีเติบโต 4-5%
อย่างไรก็ดี กบข. ได้ติดตามสถานการณ์การลงทุนทั้งในและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด พร้อมปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก อาทิ การเติบโตของหุ้นเทคโนโลยีจากกระแส AI First ราคาทองคำที่เพิ่มขึ้นจากแรงซื้อของธนาคารต่างๆ และแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ปรับลดลง ซึ่ง กบข. ได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับสภาวะตลาด กระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้นประเทศพัฒนาแล้ว หุ้นตลาดเกิดใหม่ ตราสารหนี้ และทองคำ
คาดปีนี้ Fed ลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง
สำหรับปี 2568 กบข. ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวที่ 2.10% ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจปรับลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ด้านเศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวในช่วง 2.4-2.8% จากแนวโน้มดังกล่าว กบข. มีมุมมองเชิงบวกต่อสินทรัพย์กลุ่มเติบโต (Growth Assets) โดยให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นตลาดพัฒนาแล้ว พร้อมกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้เพื่อลดความผันผวน
กบข. ประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยของ Fed ในปี 2568
ขณะเดียวกัน ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจ แต่ต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง และ กบข. ยังคงติดตามปัจจัยเสี่ยงจากนโยบายการคลังและภาวะเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด พร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนให้แก่สมาชิก