ครั้งสุดท้ายที่ถามตัวเองว่า “สิ่งที่เราอยากทำจริงๆ คืออะไร” เกิดขึ้นเมื่อไร
THE STANDARD POP ชวน ก้อย-อรัชพร โภคินภากร, นัตตี้-นันทนัท ฐกัดกุล และ ดรีม-อภิชญา พานิชตระกูล คุยเรื่องราวเส้นทางของความฝันที่ต้องเจอบททดสอบมากมาย ทั้งการค้นหาตัวเอง วันที่อกหักจากความฝัน จนถึงวันที่ลุกขึ้นสู้ใหม่อีกครั้ง
เช่นเดียวกับเรื่องราวของภาพยนตร์แอนิเมชัน BLUE GIANT เป่าฝันให้เต็มฟ้า ที่ได้จุดเชื้อเพลิงของแพสชันให้กับทั้ง 3 คนจนไฟลุกโชน และอาจทำให้ใครหลายคนได้ตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งว่า
‘ความฝันของเราคืออะไร’
รู้มาว่าหลังจากดูภาพยนตร์เรื่อง BLUE GIANT ทั้งก้อย นัตตี้ และดรีม ร้องไห้กันแบบพร้อมเพรียง
ก้อย: ใช่ ทั้ง 3 คนเลย (ยิ้ม) จริงๆ ก่อนเข้าไปดูที่ GDH เราทำงานเพิ่งเสร็จ ทั้งเหนื่อยและง่วง พลังงานติดลบเลยล่ะ และส่วนตัวก็ไม่รู้จักมังงะเรื่องนี้มาก่อน จึงเข้าไปดูแบบไม่ได้คาดหวัง แต่พอภาพยนตร์จบรู้สึกเหมือนถูกบูสต์เอเนอร์จี้ให้ไฟกลับมาลุกโชนเลย
ดรีม: ถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะเล่าประเด็นที่เข้าใจง่ายอย่างความฝันและแพสชัน แต่เป็นช่วงที่เราอินกับเรื่องนี้ พอดูจึงยิ่งมีพลัง และได้ถามตัวเองว่า กำลังใช้ชีวิตโดยทำสิ่งที่มีความสุขไหม หรือทำเต็มที่กับมันแล้วหรือยัง
BLUE GIANT เป่าฝันให้เต็มฟ้า
ภาพยนตร์เรื่องนี้ดึง ‘ความฝัน’ เรื่องอะไรของทั้ง 3 คนออกมา
ก้อย: การเป็นนักแสดงค่ะ ถึงแม้ว่าก้อยจะได้ทำงานพาร์ตนี้บ้าง แต่พอมีหลายๆ โปรเจกต์ที่ติดต่อเข้ามา ซึ่งถ้าพูดตรงๆ บางอันอาจไม่ใช่แพสชันหลัก แต่เราไม่อยากเสียโอกาสนั้น พอใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ จึงไม่ได้นั่งคิดว่าอยากทำสิ่งไหนมากกว่ากัน เหมือนขาดการคุยกับตัวเอง ปีนี้จึงตั้งใจเลือกในสิ่งที่อยากทำจริงๆ มากขึ้น อาจเพราะจัดลำดับความสำคัญในชีวิตได้ดีขึ้นด้วย
BLUE GIANT โดนก้อยหลายด้าน ทั้งความเป็น Perfectionist ความทะเยอทะยานของตัวละครที่คิดถึงแต่เป้าหมาย จนติดอยู่ในกรอบ และหลงลืมความสุขระหว่างการเล่นดนตรี ซึ่งจริงๆ แล้วอาจพาให้เขาไปได้ไกลกว่านั้น สิ่งเหล่านี้ทำให้เราย้อนกลับมาคิดถึงความสุขในการแสดงของตัวเอง
นัตตี้: เรา 3 คนน่าจะคล้ายกัน คือรักการเป็นนักแสดงมากๆ ตี้ชอบเอเนอร์จี้ของตัวเองที่ได้เป็นตัวละคร แต่พอกลับสู่ชีวิตจริงมันมีเรื่องเงิน อาชีพ และโอกาสที่เข้ามา เพราะสำหรับอาชีพนักแสดง ถึงแม้จะอยากทำแค่ไหน แต่ถ้าทีมงานไม่เลือกก็ไม่ได้เล่น
ในวันนี้ตี้จึงทรีตความฝันนี้ให้เป็นงานอดิเรก คือไม่ต้องได้เงินจากมันก็ได้ ต่อให้เป็นงานละครของนิสิตรุ่นน้องที่ขอให้ไปเล่นตี้ก็แฮปปี้ที่จะทำ แต่ขณะเดียวกันเราก็เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับละครและภาพยนตร์อยู่ตลอด เพียงแต่พยายามเข้าใจโลกว่า ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้ทุกเรื่อง เพราะฉะนั้นสำหรับตี้คือทำให้ดีที่สุดจนดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ
ดรีม: ของดรีมเป็นความฝันเรื่องการแสดงเหมือนกัน (ยิ้ม) ตอนนี้ให้ความสำคัญกับงานนี้เป็นลำดับต้นๆ เป็นสิ่งที่อยากพัฒนาตัวเองและทำให้ดีที่สุด ซึ่งไม่รู้หรอกว่าจะมีใครเห็นบ้าง แต่อย่างน้อยพอได้ลงมือทำก็จะรู้สึกเหมือนได้เติมเต็มความสุขทุกครั้ง
การแสดงมีความหมายกับทั้ง 3 คนอย่างไร
ก้อย: ถ้ามองในมุมส่วนตัว การแสดงคือการดีท็อกซ์ชีวิตที่ดีที่สุด เป็นศาสตร์ที่ทำให้ก้อยได้พัฒนาตัวเองให้เป็นเวอร์ชันที่ดีขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าพูดในภาพใหญ่ การแสดงและบทที่ดีช่วยยกระดับมนุษย์ได้เลยนะ เป็นศิลปะที่ไม่ใช่แค่ทำแล้วผ่านไป เพราะกว่าที่ก้อยจะเติบโตมาเป็นคนแบบนี้ก็ผ่านการเรียนรู้จากภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่หล่อหลอมวิธีคิดและการแสดงออก ทุกตัวละครที่เล่นจะสะท้อนแง่มุมชีวิตบางด้านกลับมาเสมอ ซึ่งก้อยชอบโมเมนต์แบบนี้และอยากจะรู้สึกต่อไปเรื่อยๆ
ดรีม: ถ้าเป็นภาพใหญ่ก็เหมือนที่ก้อยเล่า ภาพยนตร์หรือละครที่ดีมีอิทธิพลต่อสังคมได้จริงๆ สำหรับมุมส่วนตัว การแสดงเป็นพื้นที่สบายใจที่พร้อมที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา ดรีมชอบตัวเองเวลาทำงานแสดง เหมือนเป็นร่างที่มีพลังและมีความสุขมากๆ
นัตตี้: สมมติว่านี่คือยอดของการบำบัด (นัตตี้วาดมือเป็นรูปภูเขา) การแสดงอยู่ด้านบนสุดที่ช่วยเติมเต็มความเป็นมนุษย์ นี่คือสิ่งที่ตี้ตั้งใจส่งต่อให้กับนักเรียนหรือคนที่เข้าเวิร์กช็อป การแสดงทำให้เราเป็นมนุษย์ที่กลมขึ้น ทั้งเข้าใจตัวเองและคนอื่นผ่านตัวละคร ซึ่งนำมาปรับใช้ในชีวิตจริงได้ด้วย
แต่ละคนเคยอกหักกับความฝันในเรื่องอะไรบ้าง และจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไร
ดรีม: ต้องบอกว่าดรีมค่อนข้างชินกับการอกหักเรื่องความฝัน เพราะอยู่ในวงการแคสติ้งตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยและเจอกับความผิดหวังอยู่เรื่อยๆ บางงานเหมือนใกล้ที่จะได้รับเลือกแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้
ถ้าให้พูดตรงๆ นอกจากความสามารถ มันมีเรื่องของดวง ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ดรีมมองโลกว่า อะไรที่ไม่ใช่ของเรามันก็อาจจะไม่ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหยุดทำนะ อย่างน้อยสิ่งที่เราเชื่อและพยายามมาตลอดก็ทำให้ชีวิตมาถึงจุดนี้ได้
นัตตี้: โมเมนต์อกหักที่สุดของตี้คือ ครั้งหนึ่งที่เคยยอมแพ้ให้กับงานในวงการบันเทิงไปแล้ว เพราะรู้สึกเหนื่อยกับความพยายามที่ไม่สำเร็จสักที ไม่ว่าจะงานเบื้องหน้าหรือเบื้องหลังที่รู้สึกว่าทำไมได้เงินแค่นี้เอง ทำกับที่บ้านได้เยอะกว่านี้มาก จนวันหนึ่งที่ตัดสินใจว่าพอแล้ว ขอกลับไปทำงานกับครอบครัวดีกว่า
แต่พอใช้ชีวิตแบบนั้นได้ครึ่งปี จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาเองว่า นี่เราทำอะไรอยู่ ทำไมไม่มีความสุขเลย จึงตัดสินใจกลับมาทำงานที่ชอบอีกครั้ง และมันก็พามาถึงวันที่ประสบความสำเร็จประมาณหนึ่ง จุดนี้แหละที่ทำให้ย้อนกลับไปคิดถึงวันที่ยอมแพ้ว่า มันเคยมีวันนั้นนะ วันที่เราเลือกทิ้งการแสดงที่รักเหลือเกิน “มึงทำได้ยังไงวะ” ตี้ถามตัวเองแบบนั้นจริงๆ และดีใจที่กลับมาได้
เพราะฉะนั้น ‘ความผิดหวัง’ ก็เป็นจิ๊กซอว์ที่สำคัญ
ก้อย นัตตี้ ดรีม: สำคัญ (ทั้ง 3 คนตอบพร้อมกัน)
ก้อย: ก้อยชอบกดดันตัวเอง ซึ่งความล้มเหลวหลายครั้งก็เกิดจากแอตติจูดนี่แหละ พอตั้งใจมากแล้วไม่ได้ก็ผิดหวัง แต่มันเป็นบทเรียนที่ดีนะ อย่างที่ดรีมบอกคือ แค่ทำให้เต็มที่ อะไรที่ใช่ของเรามันจะใช่ ส่วนอะไรที่ไม่ใช่ยังไงมันก็ไม่ใช่
ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ก้อยรับมือกับความผิดหวังได้ดีขึ้น เมื่อเทียบกับสมัยเด็กๆ เวลาแคสต์งานไม่ผ่านจะร้องไห้เป็นอีบ้า แต่แรงผลักดันในวันนั้นก็มอบวิธีการมากมายที่พาเรามาถึงจุดนี้ได้
มีคนจำนวนมากที่ยังตามหาความฝันของตัวเอง บางคนพยายามเต็มที่แต่ไม่สำเร็จ และไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ทำในสิ่งที่รัก ทั้ง 3 คนมองเรื่องนี้อย่างไร
ก้อย: ก้อยเข้าใจสิ่งนี้นะ ต้องยอมรับว่าเราโชคดีที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ซึ่งไม่ใช่ทุกคนจะเลือกได้ แต่สิ่งที่อยากบอกคือ เราไม่มีทางรู้ว่าโอกาสจะมาถึงเมื่อไร เรา 3 คนก็ไม่สามารถบอกได้ว่าถ้าทำแบบนี้จะได้ผลลัพธ์แบบนั้น เพราะชีวิตไม่มีสูตร แต่ถ้าคุณเชื่อในสิ่งนั้นจริงๆ สิ่งที่ทำได้คือเตรียมตัวให้พร้อม เพราะถ้าวันหนึ่งโชคชะตาเหวี่ยงโอกาสเข้ามา คุณอาจจะคว้ามันได้
นัตตี้: ในมุมของตี้ ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าเราจะได้โอกาสนั้น แต่การที่ไม่มีอะไรคอนเฟิร์มแปลว่าจะไม่ทำเหรอ เพราะถ้าเลือกแบบนั้นก็เท่ากับไม่ได้ตั้งแต่ต้น แต่ถ้าอย่างน้อยได้เริ่มทำมันอาจจะสำเร็จหรือไม่ก็ได้ หรือบางทีอาจมีคนเห็นความตั้งใจของเรา แล้วหยิบยื่นโอกาสที่ดีกว่ามาให้ก็ได้
อย่างในวันที่ตัดสินใจทำช่องยูทูบ GoyNattyDream ก็ไม่รู้หรอกว่ารายการจะประสบความสำเร็จไหม ยังคุยกับก้อยและดรีมว่า ถ้าไม่เวิร์กก็ช่างมันนะ ถือว่าได้ลองแล้ว เพราะฉะนั้นขอแค่เริ่มลงมือทำ ถึงจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าคนอื่น แต่เส้นทางนั้นจะพาเราไปเจออะไรสักอย่าง
ความฝันอะไรในปี 2024 ที่แต่ละคนตั้งใจจะทำให้สำเร็จ
ดรีม: ดรีมอยากลองเล่นภาพยนตร์ ซีรีส์ ในทุกๆ แพลตฟอร์มเท่าที่จะทำได้ค่ะ เป็นช่วงที่อยากพัฒนาตัวเองในเรื่องการแสดงมากๆ อยากเรียนรู้ว่าแต่ละแพลตฟอร์มจะพาเราไปเจออะไรบ้าง
นัตตี้: เหมือนกันค่ะ ช่วงนี้กำลังอินเรื่องการแสดง และอย่างที่เล่าว่าเป็นงานที่เราควบคุมไม่ได้ว่าจะได้รับเลือกไหม ปีนี้จึงอยากชวนเพื่อนๆ ทำละครเวทีกันเถอะ (หันไปบอกก้อยและดรีมว่า ถ้าเขาไม่เลือกเรา ก็จะทำเล่นเอง) ถึงแม้จะไม่ใช่โปรเจกต์ที่ยิ่งใหญ่ แต่คิดถึงการแสดงที่เราได้เป็นตัวละครในแบบเข้มข้นจริงๆ
ก้อย: ละครเวทีก็อยากทำเหมือนกัน แต่ก้อยเพิ่งเจอสิ่งใหม่ที่รู้สึกสนุกมากนั่นคือ ก้อยแต่งเพลงเอง! (ก้อยเล่าด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น) เหมือนพอโตขึ้นก็มีสิ่งที่อยากเล่ามากขึ้น โดยเฉพาะปีที่ผ่านมาที่ถือว่าเข้มข้นที่สุดในชีวิตแล้ว เข้มปิ๊ดทุกเรื่อง (หัวเราะ)
ในปีก่อนก้อยใช้วิธีเล่าเรื่องด้วยการเขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่งแล้ว พอปีนี้ก็อยากเปลี่ยนรูปแบบ ก็เลยลองแต่งเพลงทั้งเนื้อร้องและทำนอง ตอนนี้ได้ 2 เพลงแล้ว ซึ่งก้อยเล่นดนตรีไม่เป็นนะ ใช้วิธีฮัมๆ อัดใส่โทรศัพท์ พอทำแล้วก็เพลินมาก เหมือนได้ปลดปล่อยมวลอารมณ์ข้างในออกมา
เนื้อหาของเพลงเกี่ยวกับอะไร
ก้อย: เพลงแรกเกี่ยวกับแม่ ส่วนเพลงที่ 2 เป็นโมเมนต์ของความรักที่คิดวนเวียนไม่สิ้นสุดว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี
Based on True Story ใช่ไหม
ก้อย: เรื่องจริงทั้งนั้นแหละค่ะ (ก้อยตอบทันที ก่อนจะหัวเราะกันทั้งวง) บางทีเรื่องขมๆ ในชีวิตก็เป็นงานศิลปะที่ดีนะ เพราะตอนแต่งเพลงเนื้อมันพรั่งพรูออกมา ตอนนี้จึงตั้งใจแต่งให้ได้สัก 5 เพลง เป็นมิชชันที่อยากชวนเพื่อนๆ ทำด้วยกันในปีนี้ และไม่ต้องห่วงเลย ไอ้พวกนี้บิลด์ง่าย (ก้อยหันไปมองเพื่อนๆ ที่พยักหน้าและหัวเราะกันอีกครั้ง)
กลับมาที่ BLUE GIANT คิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้บอกอะไรคนดูบ้าง
ดรีม: มันคือความสุขของการมีชีวิต ตัวละครหลัก 3 คนรู้ว่าความสุขของพวกเขาคืออะไร สิ่งสำคัญกว่าคือการลงมือทำมันด้วย ดรีมรู้สึกว่าเขาอยู่บนโลกนี้โดยใช้เวลาอย่างคุ้มค่าจริงๆ และมันสะท้อนให้เราอยากทำแบบนั้นเหมือนกัน
นัตตี้: สำหรับคนที่ดูภาพยนตร์เรื่องนี้ ต่อให้เป็นคนที่มีความฝัน ไม่มีฝัน หรืออาจจะพอใจกับชีวิตอยู่แล้ว แต่ BLUE GIANT มีพลังพิเศษที่ทำให้เราค้นเจอแง่มุมที่ซ่อนอยู่ในตัวเอง และอาจทำให้ชีวิตน่าสนใจมากกว่าเดิม
อีกเรื่องที่ตี้ได้คือ ไม่ว่าทำอะไรก็ตาม อย่าลืมความสุข ยกตัวอย่างเช่น เวลาเล่นละคร บางครั้งเวลาตั้งใจมากๆ จะเผลอกดดันตัวเองว่าต้องเล่นให้ได้แบบนั้นแบบนี้ ตี้โชคดีที่มีผู้ใหญ่ที่เคารพคอยเตือนว่า จะตั้งใจก็ได้ แต่เมื่อเป็นตัวละครแล้วอย่าลืมความสุขของการเป็นนักแสดง เพราะนั่นคือหัวใจของอาชีพนี้ เมื่อใดที่เราแสดงด้วยมายด์เซ็ตว่าจะต้องเล่นให้ดีเพื่อให้ทุกคนชม อันนี้คือโฟกัสผิดที่ คนดูจะสัมผัสได้ว่าเราไม่ได้เป็นตัวละครจริงๆ นี่คือคำสอนที่ตี้คิดอยู่ตลอดและจะไม่มีวันลืม
ก้อย: กำลังจะตอบคำที่ Cliché เหมือนที่ตี้บอก มันคือความสุข เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะบางทีที่เราหมุนตามชีวิตไป จนลืมว่าความสุขของสิ่งที่ทำอยู่ตรงไหน ก้อยรู้สึกว่ามันไม่ได้ปรับใช้แค่ความฝันในการเป็นนักแสดง แต่ใช้ได้กับทุกๆ แอ็กชันที่เราเลือกทำ มันควรจะต้องมี Happiness อยู่ในนั้น
ขอเสริมว่าดูภาพยนตร์เรื่องนี้อย่าใจร้อน เพราะเราอยู่ในยุคที่เนื้อหาเด็ดต้องมาภายใน 5-10 นาทีแรก แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้จะค่อยๆ เล่าอย่างมีจังหวะ เพราะฉะนั้นใจเย็นๆ แล้วจะได้สิ่งที่ดีกลับมา
BLUE GIANT จะกระตุ้นแอตติจูดของการทำความฝันให้มีพลังขึ้นอีกครั้ง
- BLUE GIANT เป่าฝันให้เต็มฟ้า คือมังงะสุดฮิตของประเทศญี่ปุ่น มียอดพิมพ์มากกว่า 11 ล้านเล่ม สู่การเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันสร้างแรงบันดาลใจที่ร้อยเรียงพลังของความฝันผ่านดนตรีแจ๊ส
- BLUE GIANT เป็นเรื่องราวของ มิยาโมโตะ ได นักเรียนมัธยมปลายผู้หลงใหลการเล่นแซกโซโฟน ก่อนจะตัดสินใจเดินทางมาโตเกียวเพื่อไล่ตามความฝันและตั้งวงดนตรีกับเพื่อนอีกสองคน ซึ่งเป้าหมายของพวกเขาคือ การขึ้นแสดงที่ So Blue แจ๊สคลับระดับสูงของประเทศ
- ทาจิคาวะ ยูซูรุ ผู้กำกับ BLUE GIANT พูดถึงผลงานเรื่องนี้ว่า “ในฐานะผู้กำกับ คงไม่มีอะไรน่าปลื้มไปกว่าคนที่มีสิ่งที่อยากทำแต่ทำไม่สำเร็จสักที แต่พอได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วก็เกิดความคิดว่า ชักจะมีแรงฮึดขึ้นมาแล้วสิ!”
รับชมตัวอย่างภาพยนตร์ BLUE GIANT เป่าฝันให้เต็มฟ้า ได้ที่: www.youtube.com/watch?v=83F3tnL49Mk