รัฐบาลทุ่ม 3.4 หมื่นล้าน ลุยมาตรการแพ็กเกจ EV 3.5 อุดหนุนสูงสุดสำหรับรถยนต์และรถกระบะ 100,000 บาทต่อคัน รถจักรยานยนต์ 10,000 บาทต่อคัน เดินหน้าผลักดันไทยสู่ฮับยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค บีโอไอเผย วันที่ 22 ธันวาคม 2566 เตรียมหารือกรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน ค่ายผู้ผลิตยานยนต์ชั้นนำกว่า 30 ราย รับฟังมาตรการสนับสนุนและสิทธิประโยชน์ก่อนเริ่มโครงการวันที่ 2 มกราคม 2567
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (19 ธันวาคม) คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 ในช่วงเวลา 4 ปี (พ.ศ. 2567-2570) โดยจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2567 เพื่อส่งเสริมให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และผลักดันไทยก้าวสู่การเป็นฐานผลิตชั้นนำของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- ตลาด EV ไทยป่วน! ยอดขายรถยนต์สันดาปวูบต่อเนื่อง ขณะที่แพ็กเกจ EV ใกล้หมดอายุ ค่ายรถหวั่นผู้ซื้ออาจเสียสิทธิรับเงินอุดหนุนตามเงื่อนไข
- เปิดชื่อแบรนด์รถยนต์ EV จีน ที่เข้ามาตั้งโรงงานผลิตในไทย เริ่มเดินสายพานปี 2567-2568 กำลังผลิตเท่าไร ตั้งอยู่ที่ไหนบ้าง
- เปิดมาตรการ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ EV 3.5 แพ็กเกจใหม่ รัฐบาลช่วยจ่ายเงินอุดหนุนเท่าไร รถประเภทไหนบ้าง
เร่งดึงบริษัทรถยนต์รายใหม่ๆ ปักฐานการผลิตในไทย
“มาตรการ EV 3.5 เป็นมาตรการที่ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนอุตสาหกรรม EV อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นฮับยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค การออกมาตรการ EV 3.5 ในครั้งนี้จะสนับสนุนให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรม EV ในประเทศไทยเพิ่มเติม ทั้งการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายเดิมเปลี่ยนผ่านไปสู่ EV และการดึงบริษัทรถยนต์รายใหม่ๆ ให้เข้ามาตั้งฐานผลิตในประเทศเพิ่มเติมด้วย”
โดยบีโอไอในฐานะเลขานุการของบอร์ด EV ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเดินหน้าผลักดันเต็มที่ เพื่อให้ไทยบรรลุเป้าหมายการผลิตรถ ZEV (Zero Emission Vehicle) หรือยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 และรักษาความเป็นผู้นำด้านยานยนต์อันดับ 1 ในอาเซียน และ 1 ใน 10 ของโลก และสนับสนุนเป้าหมายของประเทศในการลดก๊าซเรือนกระจกและก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 อีกด้วย” นฤตม์กล่าว
สิทธิประโยชน์ 3 ส่วนตามประเภทของรถ
สำหรับมาตรการ EV 3.5 จะมีผลใช้บังคับในช่วงปี 2567-2570 โดยครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า โดยสิทธิประโยชน์ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เงินอุดหนุน การลดอัตราอากรขาเข้ารถยนต์สำเร็จรูป และการลดอัตราภาษีสรรพสามิต โดยเงินอุดหนุนจะเป็นไปตามประเภทของรถและขนาดของแบตเตอรี่ดังนี้
กรณีรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาทต่อคันในปีที่ 1, 75,000 บาทต่อคันในปีที่ 2 และ 50,000 บาทต่อคันในปีที่ 3-4 สำหรับรถที่มีขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 50,000 บาทต่อคันในปีที่ 1, 35,000 บาทต่อคันในปีที่ 2 และ 25,000 บาทต่อคันในปีที่ 3-4
กรณีรถกระบะไฟฟ้าราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 100,000 บาทต่อคันตลอดระยะเวลา 4 ปี เฉพาะส่วนที่ผลิตในประเทศ
กรณีรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 150,000 บาท ที่มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh จะได้รับเงินอุดหนุน 10,000 บาทต่อคันตลอดระยะเวลา 4 ปี เฉพาะส่วนที่ผลิตในประเทศ
ลดอากรขาเข้าไม่เกิน 40% ผู้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU)
นอกจากนี้ภายใต้มาตรการ EV 3.5 จะมีการลดอากรขาเข้าไม่เกิน 40% สำหรับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) ที่มีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทในช่วง 2 ปีแรก (พ.ศ. 2567-2568) และลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือ 2% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท โดยได้กำหนดเงื่อนไขการลงทุนในประเทศให้ผู้ได้รับการสนับสนุนผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อชดเชยการนำเข้าภายในปี 2569 ในอัตราส่วน 1:2 (นำเข้า 1 คัน ผลิตชดเชย 2 คัน) และจะเพิ่มอัตราส่วนเป็น 1:3 ในปี 2570 โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายเดิมที่เข้าร่วมมาตรการ EV 3 แล้ว หากมีความประสงค์จะเข้าร่วมมาตรการ EV 3.5 ให้สามารถยื่นขอรับสิทธิประโยชน์ได้ โดยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของแต่ละมาตรการ
รัฐบาลทุ่มงบ 34,000 ล้านบาทตลอดระยะเวลา 4 ปี
ภายใต้มาตรการ EV 3.5 กรมสรรพสามิตคาดว่าจะมียานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการสนับสนุนตลอดระยะเวลา 4 ปี จำนวนประมาณ 830,000 คัน โดยแบ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 454,000 คัน รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 346,000 คัน และรถกระบะไฟฟ้า 30,000 คัน โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณจำนวน 34,000 ล้านบาทตลอดระยะเวลา 4 ปี
นอกจากนี้ที่ประชุมเห็นชอบให้กรมสรรพสามิตขยายเวลาการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิตามมาตรการ EV 3 จากเดิมที่ต้องจดทะเบียนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ให้ขยายเวลาเป็นต้องจำหน่ายภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2566 และต้องจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2567 เพื่อให้ผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อยานยนต์ไฟฟ้าในช่วงปลายปี 2566 สามารถยื่นจดทะเบียนได้ทันภายในเดือนมกราคม 2567
รายงานข่าวระบุอีกว่า บีโอไอจะร่วมกับกรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงาน จะประชุมผู้ประกอบการรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เพื่อชี้แจงรายละเอียดของมาตรการ EV 3.5 รวมถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและเข้าใจตรงกันระหว่างผู้ประกอบการและหน่วยงานภาครัฐ ในวันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม 2566