ตลอด 3 ปีหลังการเปิดตัว ChatGPT โลกเทคโนโลยีต่างมองว่า Google ผู้เคยเป็นผู้นำด้านการวิจัย AI กลายเป็นผู้ตามที่ช้ากว่า ทั้งนักวิเคราะห์ วิศวกรในบริษัทเอง และอดีตซีอีโอบางรายต่างตั้งข้อสงสัยว่าบริษัทกำลังเสียตำแหน่งผู้นำในเทคโนโลยีแห่งอนาคตให้ผู้ท้าชิงรุ่นใหม่อย่าง OpenAI แต่ภาพนั้นกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อ Google แสดงให้เห็นว่าศักยภาพอันมหาศาลของตนยังคงไม่หายไปไหน และที่สำคัญ ตอนนี้มันกลับมาแล้วอย่างทรงพลังยิ่งกว่าเดิม
Google ช่วงปีหลังได้เปิดตัวซอฟต์แวร์ AI ใหม่ ๆ พร้อมจับมือกับพันธมิตรด้านชิป เช่น ความร่วมมือกับ Anthropic ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่า Google ยังไม่ยอมให้ OpenAI หรือคู่แข่งรายอื่นแย่งตำแหน่งผู้นำไปง่าย ๆ โดยเฉพาะโมเดลใหม่ Gemini 3 ซึ่งได้รับเสียงยกย่องในด้านความสามารถเชิงเหตุผล การเขียนโค้ด และความแม่นยำในงานเฉพาะทางที่มักเป็นข้อผิดพลาดของแชตบอท AI รุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ Google Cloud ซึ่งเคยเป็นผู้ตาม ยังเติบโตต่อเนื่องจากความต้องการสร้างบริการ AI และความต้องการพลังประมวลผลมหาศาลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
อีกสัญญาณสำคัญคือความต้องการชิป AI ของ Google ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะ TPU ซึ่งเป็นตัวเลือกไม่กี่รายที่สามารถแข่งขันกับชิปประมวลผลของ Nvidia ได้ รายงานล่าสุดระบุว่า Meta กำลังเจรจาเพื่อใช้ชิปของ Google ในปี ค.ศ. 2027 ส่งผลให้หุ้น Alphabet พุ่งขึ้นอย่างโดดเด่น โดยบริษัทมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์นับตั้งแต่เดือนตุลาคม ความเชื่อมั่นของตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่ Warren Buffett เข้าถือหุ้นในช่วงไตรมาสสาม และความคาดหวังต่อแผน AI ของบริษัท
นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า Google คือ “ม้ามืด” ที่แม้จะดูนิ่ง แต่แท้จริงแล้วมีทรัพยากรและเครื่องมือที่เหนือกว่าใคร ทั้งฐานข้อมูลมหาศาลจาก Search, Android และ YouTube ระบบคลาวด์โครงสร้างครบวงจร และรายได้ที่มั่นคงซึ่งช่วยให้บริษัทเดินหน้าวิจัยอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ความกังวลเรื่องการถูกหน่วยงานกำกับดูแลเล่นงานก็ลดลง หลัง Google ไม่ถูกสั่งแยกกิจการในคดีผูกขาดครั้งใหญ่ในสหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความเห็นว่าตลาดกำลังเปลี่ยนแปลงจากการแข่งขันด้าน AI
อีกด้านหนึ่ง Google ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจใหม่ เช่น Waymo ซึ่งบริการแท็กซี่ไร้คนขับเพิ่มพื้นที่ให้บริการและเริ่มเปิดวิ่งบนทางหลวง แสดงให้เห็นว่าการลงทุนระยะยาวเริ่มออกผลเชิงพาณิชย์มากขึ้น การที่ Google ควบคุมตั้งแต่แอปพลิเคชัน AI โครงสร้างพื้นฐาน โมเดลซอฟต์แวร์ ไปจนถึงชิปประมวลผล ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบเหนือผู้เล่นอื่นที่ต้องพึ่งพาซัพพลายเออร์อย่าง Nvidia มากกว่า
ด้านการแข่งขันในชิป AI ความพยายามของบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการลดการพึ่งพา Nvidia ทำให้ TPU ของ Google กลายเป็นทางเลือกที่สำคัญขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อ Anthropic ตัดสินใจใช้ TPU มากถึง 1 ล้านตัวในดีลที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์ แม้ TPU จะยังจำกัดการใช้งานเฉพาะภายในระบบคลาวด์ของ Google และมีความยืดหยุ่นน้อยกว่า GPU ของ Nvidia แต่ด้วยผลงานด้าน AI ที่โดดเด่น บริษัทต่าง ๆ ก็พร้อมยอมรับการ “ล็อกอิน” อยู่ในระบบ Google มากขึ้น
การฟื้นตัวของ Google ไม่ได้เกิดขึ้นโดยไร้ความเสี่ยง ในปี ค.ศ. 2023 บริษัทปรับโครงสร้างด้าน AI นำทีมทั้งหมดไปรวมภายใต้การนำของ Demis Hassabis หัวเรือใหญ่ของ DeepMind แม้จะมีช่วงผิดพลาด เช่น การเปิดตัวเครื่องมือสร้างภาพที่ผิดพลาด แต่การรวมทรัพยากรเข้าด้วยกันทำให้การพัฒนารวดเร็วและมีทิศทางมากขึ้น Hassabis ยังเป็นกาวสำคัญที่ช่วยรักษาวิศวกรเก่งระดับโลกเอาไว้ในบริษัท แม้จะมีข้อเสนอค่าตอบแทนสูงจากคู่แข่งก็ตาม
ผลลัพธ์ที่เห็นชัดคือ Gemini 3 Pro ที่ไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำบนหลายกระดานจัดอันดับ AI นักวิจัยชื่อดังอย่าง Andrej Karpathy ยังยอมรับว่าเป็นโมเดลระดับ “Tier 1” จุดแข็งสำคัญคือการแก้ปัญหาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อน รวมถึงความแม่นยำด้านภาพและข้อความซ้อนทับซึ่งเคยเป็นจุดอ่อนของ AI เกือบทุกเจ้า
อย่างไรก็ตาม ในด้านผู้ใช้ทั่วไป Google ยังตามหลัง OpenAI อยู่บ้าง Gemini มีผู้ใช้งาน 650 ล้านราย ขณะที่ ChatGPT มีผู้ใช้งานประจำสัปดาห์ถึง 800 ล้านราย และยอดดาวน์โหลดแอปก็ยังเป็นรอง แต่ในสายตาบริษัทขนาดใหญ่ ความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย และประสิทธิภาพกำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญ และนี่คือจุดที่ Google มีศักยภาพเหนือคู่แข่งหลายราย
ท้ายที่สุด แม้ TPU ของ Google จะยังจำกัดการเข้าถึงและไม่เหมาะกับทุกบริษัท แต่การที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Meta และ Anthropic เริ่มหันมามองชิปของบริษัท เป็นสัญญาณสำคัญว่า Google ไม่ได้เป็นผู้ตามอีกต่อไป Thomas Husson จาก Forrester กล่าวไว้ว่า “Google กลับมาสู่เกมแล้วอย่างเต็มตัว” และคำกล่าวที่ว่า Google กำลังจะตายจากเวทีเทคโนโลยีนั้นไม่เพียงเกินจริง แต่แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความจริงเลยในวันนี้
Google อาจจะเคยดูเหมือนหลับใหล แต่ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ได้ตื่นขึ้นแล้ว และพร้อมจะสู้ในศึก AI ที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์เทคโนโลยีร่วมสมัย
ภาพ: VCG/VCG via Getty Images
อ้างอิง:


