สถานีโทรทัศน์ CNBC เปิดเผยว่า บรรดานักลงทุนกระเป๋าหนักและเศรษฐีผู้มีอันจะกินทั้งหลายต่างหลั่งไหลเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นเพิ่มมากขึ้นในช่วงเดือนสุดท้ายของปีนี้ หลังจากที่ตลอดช่วงปีที่ผ่านมานักลงทุนเหล่านี้สามารถกอบโกยรายได้และผลกำไรได้อย่างดี
ทั้งนี้ ข้อมูลจากโกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ในช่วงสัปดาห์ที่แล้วบรรดานักลงทุนต่างทุ่มเงินเข้าไปลงทุนในตลาดมากกว่า 4.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ปริมาณกระแสเงินสดที่ไหลเข้าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วง 7 สัปดาห์ที่ผ่านมาพุ่งทะลุ 2.26 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากนี้ แม้ว่าจะมีการปรับตัวของตลาดหุ้นในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ปริมาณเงินสดที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดโดยรวมทั้งหมดในปีนี้ขยายตัวจนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 4.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ
สก็อตต์ รับเนอร์ นักวิเคราะห์แผนกโกลบอล มาร์เก็ตของทางโกลด์แมน แซคส์ แสดงความเห็นว่า เหตุผลหลักน่าจะเป็นผลจากการวางแผนจัดสรรพอร์ตการลงทุนส่งท้ายปีเพื่อรับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งปกติช่วงท้ายปีต่อเนื่องยาวไปจนถึงปีใหม่เป็นช่วงที่นักลงทุนมักจะพิจารณาทบทวนผลงานการลงทุนและวางแผนจัดสรรการลงทุนใหม่ของตนเอง
ด้านผลการสำรวจบรรดาผู้จัดการกองทุนรายเดือนของ Bank of America ระบุว่า เหล่านักลงทุนมีการเคลื่อนย้ายเงินสดเข้ามาตลาดหุ้นเพิ่มมากสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2020 ก่อนคาดว่าจะมีการเคลื่อนย้ายเงินสดครั้งใหญ่ในช่วงเดือนมกราคม ซึ่งเป็นช่วงที่บรรดาผู้จัดการการเงินและที่ปรึกษาทางการเงินส่วนใหญ่อาศัยโอกาสช่วงปีใหม่เข้าลงทุนในตลาด
โกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า ในช่วงเดือนแรกของปีใหม่ มักจะมีกระแสเงินสดไหลเข้าลงทุนในตลาดมากถึง 134% ซึ่งหมายความว่าเดือนมกราคมมักเป็นเดือนที่มีเงินทุนไหลเข้าตลาดมากที่สุด ขณะที่ในช่วงที่เหลือของปีมักจะมีกระแสเงินไหลออกมากกว่า โดยนักลงทุนในวอลล์สตรีทเรียกปรากฏการณ์ดังกล่าวว่า ‘January Effect’
ขณะเดียวกัน ฝ่ายบริหารจัดการสินทรัพย์ของธนาคาร HSBC ได้ออกรายงานคาดการณ์แนวโน้มทิศทางการลงทุนในช่วงปี 2022 พบว่า นักลงทุนหมดเวลาสนุกสนานรื่นเริงกับการลงทุนด้วยอานิสงส์ของอัตราดอกเบี้ยถูกอีกแล้ว และปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงเป็นช่วงเวลาของการ ‘ชดใช้’ จากการลงทุนในช่วงกว่า 18 เดือนที่ผ่านมา
โจเซฟ ลิตเติล หัวหน้านักกลยุทธ์จากฝ่ายบริหารจัดการสินทรัพย์แบบโกลบอลของทาง HSBC กล่าวว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตร สเปรด และความเสี่ยงต่างๆ ล้วนตกอยู่ภายใต้ความกดดัน ทำให้ค่าความเสี่ยงซึ่งเป็นจำนวนผลตอบแทนที่สินทรัพย์เสนอให้นักลงทุน ที่ปกติมักจะสูงกว่าอัตราผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง ปรับตัวลดลง ดังนั้น ผลตอบแทนจากการลงทุนจะปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ ทาง HSBC ยังได้เดินหน้าศึกษาถึงปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง พบว่า การระบาดของโควิดยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญมากที่สุด ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงประการต่อมาก็คือ ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่อาจต้องเผชิญกับภาวะ ‘ฮาร์ดแลนดิ้ง’ (Hard Landing)
นอกจากนี้ ปัญหาระบบห่วงโซ่การผลิตที่มีแนวโน้มจะใช้เวลาในการฟื้นตัวนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ และปัญหาแรงงานขาดแคลนที่สวนทางกับตำแหน่งงานที่มีมากขึ้น จะเป็นปัจจัยคุกคามที่สำคัญในปีหน้าเช่นกัน
อ้างอิง:
- https://www.cnbc.com/2021/12/16/big-wealth-investors-are-likely-to-put-money-to-work-in-stocks-after-amassing-record-levels-of-cash.html
- https://www.cnbc.com/2021/12/16/hsbc-names-the-big-market-risks-next-year-and-says-stock-returns-will-be-squeezed.html
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
- Twitter: twitter.com/standard_wealth
- Instagram: instagram.com/thestandardwealth
- Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP