สถานีโทรทัศน์ CNN เปิดเผยรายงานคาดการณ์แนวโน้มทิศทางตลาดหุ้น Wall Street ในปี 2022 ของสถาบันการเงินชั้นนำอย่าง Morgan Stanley และ Goldman Sachs โดยถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติส่งท้ายปีที่บรรดานักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญของธนาคารและสถาบันการเงินชั้นนำในสหรัฐฯ จะออกมาแสดงความเห็นพร้อมข้อมูลรายงานความยาวหลายสิบหน้า เพื่อช่วยให้บรรดานักลงทุนรู้ว่าทิศทางเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร รวมถึงมีหุ้นและพันธบัตรตัวไหนในตลาดที่น่าสนใจหรือไม่ควรพลาด
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจากรายงานของ Morgan Stanley และ Goldman Sachs ที่เผยแพร่เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา พบว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในปีหน้ายังคงมีความไม่แน่นอน โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองก็คือ สถานการณ์เงินเฟ้อและการตอบสนองต่อปัญหาเงินเฟ้อของรัฐบาลและธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ทั้งนี้ ทีมนักกลยุทธ์ของ Morgan Stanley มองว่า เงินเฟ้อน่าจะลดต่ำลง แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงกว่าอัตราเป้าหมายของ Fed ที่ 2% และปัญหาซัพพลายเชนจะส่งผลให้การเติบโตชะลอตัว ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่เศรษฐกิจโตช้าและเงินเฟ้อสูง ทำให้ Fed จำเป็นต้องใช้มาตรการที่เข้มข้น จึงมีความเป็นไปได้ที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปีหน้า
ส่วนนักกลยุทธ์ของ Goldman Sachs เห็นว่า ปัญหาเงินเฟ้อจะรุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ หลังราคาสินค้าปีนี้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบ 30 ปี บีบให้ Fed ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้นปีหน้า และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะเร็วหรือช้าขึ้นอยู่กับสถานการณ์การระบาดของโควิดว่าจะคลี่คลายได้อย่างรวดเร็วเพียงใด
ขณะที่ในส่วนภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ Morgan Stanley คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสามารถขยายตัวได้ 5.5% ในปีนี้ และ 4.6% ในปีหน้า ขณะที่ Goldman Sachs คาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ปีหน้าจะโตเพียง 3.9% เท่านั้น
สำหรับคำแนะนำถึงนักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันการเงินชั้นนำ 2 แห่ง ระบุตรงกันว่า สถานการณ์เงินเฟ้อเป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวังและจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยแนวโน้มของเงินเฟ้อจะย่ำแย่ถึงขีดสุดก่อนดีขึ้น ดังนั้นจึงแนะให้นักลงทุน Stay Humble คืออยู่อย่างอ่อนน้อม เจียมตัว อย่าลงทุนแบบหวือหวามากนัก
วันเดียวกัน CNN ได้ตีพิมพ์ความเห็นของนักวิเคราะห์ที่ส่งคำเตือนถึงบรรดานักลงทุนในตลาดถึงปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เหล่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดต้องเผชิญแต่มักจะลืมไป นั่นก็คือการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด ทำให้แม้จะเป็นเรื่องยากที่จะเติบโตจนเป็นผู้นำตลาด แต่การรักษาสถานะการเป็นผู้นำให้คงอยู่เป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า
CNN ได้ยกตัวอย่าง กรณีบริษัท Peloton ผู้ผลิตอุปกรณ์ออกกำลังกายที่หุ้นในตลาดในช่วงปีที่ผ่านมาดิ่งลงกว่า 70% หลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย ทำให้ผู้คนหันไปออกกำลังในยิมอีกครั้ง หรือกรณีของ Beyond Meat ที่การโตชะลอตัวลง เพราะเผชิญกับคู่แข่งผลิตเนื้อเทียมที่ออกสู่ตลาดได้แพร่หลายกว่าและราคาถูกกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ผลิตอาหารรายใหญ่อย่าง Kellogg (K), Tyson (TSN) และ Hormel (HRL) กระโดดลงมาแข่งขันและเปิดตัวผลิตภัณฑ์โปรตีนจากพืชของตนเอง
หรืออีกกรณีที่เห็นได้ชัดก็คือ Netflix ที่ต่อให้เป็นผู้บุกเบิกริเริ่มวงการสตรีมมิง แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวรับประกันความสำเร็จ เมื่อต้องเจอคู่แข่งรายใหญ่อย่าง Disney, Apple หรือ HBO
รายงานระบุว่า การแข่งขันอาจเป็นเรื่องที่ดี แต่สุดท้ายการที่สินค้าและบริการนั้นๆ ไม่ใช่เจ้าเดียวในตลาด ก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับการทำธุรกิจ และการแข่งขันหมายถึงส่วนแบ่งรายได้ ผลกำไร และการเติบโตที่ลดลง และยิ่งต้องระวังมากขึ้นเมื่อคู่แข่งที่ลงสนามทีหลังคือบรรดายักษ์ใหญ่ที่เคยเป็นผู้นำตลาดอยู่ก่อน
อ้างอิง: