×

‘ทองคำ’ ร่วงต่ำสุดรอบ 6 สัปดาห์ หลัง Fed เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยแรง กูรูมองแนวโน้มขาลงถึงปลายปี

01.09.2022
  • LOADING...

‘ราคาทองคำ’ ร่วงทำระดับต่ำสุดรอบ 6 สัปดาห์ หลังจาก Fed เดินหน้าใช้ยาแรงเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูงรอบ 40 ปี ด้านผู้ค้าทองของไทยคาดราคาทองคำซึมยาวถึงสิ้นปี แนะติดตามภาวะเศรษฐกิจถดถอย หากเริ่มเกิดขึ้นจะผลักดันทองคำสู่ขาขึ้นอีกครั้ง

 

ทองคำร่วงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ หวังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ยังคงเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสูงกว่า 4% ในต้นปีหน้า

 

ความเคลื่อนไหวราคาทองคำล่าสุดร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ จากการคาดการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ และธนาคารกลางอื่นๆ ที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่ทำระดับสูงสุดรอบ 40 ปี ส่วนโลหะเงินร่วงลงต่ำสุดในรอบ 2 ปี

 

โดยวันนี้ (1 กันยายน) ทองคำแท่งร่วงลงเป็นวันที่ 5 เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งกดดันเสน่ห์ของทองคำ รวมถึงทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ที่ชัดเจนมากขึ้นว่าจะเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ Bloomberg ได้อ้างอิงคำสัมภาษณ์ของ ลอเรตตา เมสเตอร์ ประธาน Fed แห่งคลีฟแลนด์ ที่กล่าวไว้เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (31 สิงหาคม) ว่า Fed จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สูงกว่า 4% ภายในต้นปี 2566 และคงระดับอัตราดอกเบี้ยเอาไว้จนถึงสิ้นปี

 

ทางด้านตลาดเงิน (Money Market) นักลงทุนยังซื้อขายบนการคาดการณ์ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.25% ในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ แนวโน้มการตึงตัวของสภาพคล่องทั่วโลกได้ส่งผลให้ราคาทองคำร่วงลงเป็นเดือนที่ 5 ในเดือนสิงหาคม ซึ่งถือเป็นการไหลลงของราคาที่ยาวนานที่สุดในรอบ 4 ปี โดยราคาทองคำสปอตลดลง 0.3% สู่ระดับ 1,705.86 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ เวลา 10.35 น. (ตามเวลาสิงคโปร์) หลังจากแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 21 กรกฎาคมก่อนหน้านี้

 

ขณะที่ Bloomberg Dollar Spot Index เพิ่มขึ้น 0.2% โลหะเงินลดลง 1.3% ในขณะที่แพลเลเดียมและแพลตตินัมก็ลดลงเช่นกัน

 

ธนรัชต์ พสวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำจากนี้ไปจนถึงสิ้นปียังถูกกดดันต่อเนื่องจากปัจจัยเรื่องการดำเนินนโยบายเชิงเข้มงวด โดยในการประชุมของ Fed วันที่ 20-21 กันยายนนี้ คาดว่า Fed จะประกาศขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงอีกครั้ง และจะเริ่มผ่อนคลายนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม 2 ครั้งถัดไป

 

“ปัจจัยเรื่อง Fed ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรุนแรงจะกดดันราคาทองคำต่อไปในระยะสั้นๆ เนื่องจากทองคำไม่ใช่สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย ทำให้เงินลงทุนไหลไปสู่เงินดอลลาร์แทน”

 

ธนรัชต์กล่าวว่า ปัจจัยที่จะเป็นอัปไซด์สำหรับทองคำคือภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่จะเกิดขึ้นตามมา โดยจากสถิติพบว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยมักจะเกิดขึ้นหลังจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรงใน 12-18 เดือน รวมถึงสัดส่วนหนี้สาธารณะในระดับสูง ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อราคาทองคำเช่นกัน

 

สำหรับคำแนะนำลงทุนในทองคำ นักลงทุนควรทยอยสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว เพื่อขายทำกำไรในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งจะเป็นจังหวะที่ราคาทองคำจะเริ่มไต่ระดับขึ้นได้ หลังจากคลายกังวลจากนโยบายขึ้นดอกเบี้ยแรงของ Fed โดยประเมินแนวรับรอบนี้ที่ 1,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และแนวต้านที่ 1,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

ทางด้าน ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ในช่วงที่เหลือของปีนี้ประเมินว่าราคาทองคำจะแกว่งตัวในกรอบขาลง เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและทำให้สเน่ห์ของทองคำลดลง

 

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันดังกล่าวนี้ตลาดได้ตอบรับมาสักระยะแล้ว จึงเชื่อว่าจากนี้ไปราคาทองคำจะไม่ปรับลดลงมากนัก โดยประเมินกรอบราคาอยู่ที่ 1,650-1,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์

 

สำหรับคำแนะนำการลงทุน แนะนำให้ถือเงินสดในสัดส่วนที่มากกว่าปกติ และทยอยเข้าลงทุนทองคำเมื่อราคาเริ่มย่อตัวใกล้กรอบล่าง เพื่อขายทำกำไรในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยน่าจะถึงจุดสูงสุดและเริ่มทรงตัว ซึ่งราคาทองคำจะเริ่มแกว่งตัวขาขึ้นอีกครั้ง​

 

แบงก์ชาติทั่วโลกสำรองทองคำเพิ่ม

 

บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยรายงานจากสภาทองคำโลก (Wolrld Gold Council) ซึ่งได้เปิดเผยข้อมูลว่าครึ่งแรกของปี 2565 ตลาดทองคำมีความต้องการทางกายภาพที่แข็งแกร่ง โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 2,189 ตัน เพิ่มขึ้น 12% เมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปีที่แล้ว แม้ว่าความต้องการทองคำจะชะลอตัวในไตรมาสที่ 2 แต่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่คงอยู่ควบคู่ไปกับความไม่แน่นอนของตลาดที่เพิ่มขึ้น จะช่วยหนุนราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปี แม้ว่าการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐจะทำหน้าที่เป็นอุปสรรคสำคัญของทองคำ

 

ทั้งนี้ ธนาคารกลางทั่วโลกได้ทำการสำรองทองคำเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกถึง 270 ตัน นำโดยตุรกีที่ถือครองทองคำเพิ่ม 63 ตัน ตามมาด้วยอียิปต์  44 ตัน อิรัก 34 ตัน และอินเดีย 15 ตัน ซึ่งเป็นความต่อเนื่องของการซื้อที่แข็งแกร่งที่ต่อเนื่องจากเมื่อปีที่แล้ว และสภาทองคำโลกได้คาดว่าทั้งปี ความต้องการของธนาคารกลางในปี 2565 จะเท่ากับระดับเดียวกับปี 2564

 

สำหรับการสำรองทองคำเฉพาะในไตรมาส 2/2565 การซื้อสุทธิของธนาคารกลางทั่วโลกอยู่ที่ 180 ตัน เฉพาะเดือนมิถุนายน พบว่าธนาคารกลางทั่วโลกได้ซื้อทองคำสำรองสุทธิ 59 ตัน ซึ่งถือเป็นเดือนแรกของปีนี้ที่ไม่พบรายงานยอดขาย ขณะที่ธนาคารกลางอิรักเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดในเดือนมิถุนายน โดยเพิ่มทองคำสำรอง 34 ตัน นี่เป็นการเพิ่มครั้งแรกของอิรักตั้งแต่เดือนกันยายน 2561 ตามด้วยอุซเบกิสถาน 9 ตัน ตุรกี 8 ตัน คาซัคสถาน 4 ตัน และอินเดีย 4 ตัน

 

นอกจากนี้ยังพบว่าผลสำรวจ Central Bank Gold Survey 2022 ของสภาทองคำโลก และ YouGov พบว่า ธนาคารกลาง 25% คาดว่าจะเพิ่มการถือครองทองคำของตน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสัดส่วน 21% ในผลสำรวจปีที่แล้ว และที่สำคัญคือ ไม่มีธนาคารกลางใดวางแผนที่จะลดทองคำสำรองในอีก 12 เดือนข้างหน้า

 

อ้างอิง:

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH

Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising