ราคาทองคำพุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่ หลังปมความขัดแย้งการค้าสหรัฐฯ – จีนมีสัญญาณว่า จะทวีความรุนแรงขึ้น ขณะที่ราคาโลหะเงินก็แตะจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน
วันนี้ (13 ตุลาคม) ราคาทองคำพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย หลังความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ – จีนที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อ ขณะที่ราคาโลหะเงินก็ทะยานขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นเดียวกัน
ราคาทองคำตลาดสปอต (Spot gold) ปรับตัวขึ้น 1.5% สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,078.05 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ ทองคำฟิวเจอร์ส สำหรับการส่งมอบเดือนธันวาคม ก็พุ่งขึ้น 2.3% แตะ 4,093.50 ดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน
การเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษี 100% ต่อสินค้านำเข้าจากจีน และประกาศมาตรการควบคุมการส่งออกซอฟต์แวร์ที่สำคัญฉบับใหม่ภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน เพื่อตอบโต้มาตรการจำกัดการส่งออกแร่หายาก (Rare Earth) และอุปกรณ์ของจีน ซึ่งต่อมารัฐบาลจีนได้ออกมาชี้แจงว่า มาตรการของตน ‘มีความชอบธรรม’
ไคล์ ร็อดดา (Kyle Rodda) นักวิเคราะห์จาก Capital.com กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้สถานการณ์ในตะวันออกกลางเป็นปัจจัยหนุนตลาดทองคำลดลง แต่ตอนนี้เรากลับมามีความเสี่ยงใหม่ที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง จากความตึงเครียดทางการค้าที่รุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐฯ และจีน”
Goldman Sachs คาดทองมีโอกาแตะ 4,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในธ.ค.นี้
ย้อนกลับเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ได้ประกาศปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำ ณ เดือนธันวาคม ปี 2026 ขึ้นเป็น 4,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 4,300 ดอลลาร์ โดยอ้างอิงถึงการไหลเข้าของเงินทุนอย่างแข็งแกร่งในกองทุน ETF ของฝั่งตะวันตก และแนวโน้มการเข้าซื้อของธนาคารกลางต่างๆ
โกลด์แมนระบุว่า “เรามองว่าความเสี่ยงต่อการคาดการณ์ราคาทองคำฉบับปรับปรุงใหม่นี้ โดยรวมแล้วยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นได้อีก เนื่องจากการกระจายการลงทุนของภาคเอกชนมาสู่ตลาดทองคำซึ่งมีขนาดค่อนข้างเล็ก อาจผลักดันให้การถือครองของกองทุน ETF สูงเกินกว่าที่เราได้ประเมินไว้”
ราคาเงิน ‘พุ่งแรง’ กว่าทอง
ส่วนราคาเงินในตลาดสปอตพุ่งขึ้น 2.7% ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 51.70 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยเดียวกับทองคำ ประกอบกับสภาวะอุปทานที่ตึงตัวในตลาดสปอต โดยนับตั้งแต่ต้นปี ราคาเงินมีอัตราเพิ่มขึ้นแซงทองคำแล้ว หรือเพิ่มขึ้น 73.51% (YTD)
โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ระบุเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ราคาเงินคาดว่า จะปรับตัวสูงขึ้นในระยะกลาง จากกระแสการลงทุนของภาคเอกชน แต่เตือนถึงความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในระยะสั้นและความเสี่ยงขาลงที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับทองคำ
ทั้งนี้ ทองคำแท่งซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย มีมูลค่าเพิ่มขึ้นแล้วราว 53% นับตั้งแต่ต้นปี (YTD) โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ การเข้าซื้อทองคำอย่างแข็งแกร่งของธนาคารกลางต่างๆ เงินทุนไหลเข้ากองทุน ETF การคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ Fed และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากมาตรการทางภาษี
ปัจจุบัน ตลาดคาดการณ์ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ในเดือนตุลาคมนี้ และจะปรับลดดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันอีกครั้งในเดือนธันวาคม
โดยเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed มีกำหนดจะกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีของสมาคมเศรษฐศาสตร์ธุรกิจแห่งชาติ (National Association for Business Economics: NABE) ในวันอังคารที่ 14 ตุลาคมนี้ ซึ่งอาจให้สัญญาณใหม่ๆ เกี่ยวกับการลดดอกเบี้ย ขณะที่เจ้าหน้าที่ Fed คนอื่นๆ ก็มีกำหนดการจะกล่าวถ้อยแถลงตลอดทั้งสัปดาห์
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กล่าวโทษพรรคเดโมแครตว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนต้องตัดสินใจเลิกจ้างเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางหลายพันคนในช่วง Government Shutdown ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม และทำให้การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆ ต้องล่าช้าออกไป
ด้านสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ ผู้นำโลกหลายคน รวมถึงประธานาธิบดีทรัมป์ มีกำหนดจะเข้าร่วมการประชุมที่ประเทศอียิปต์ในวันจันทร์นี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับแผนการหยุดยิงในฉนวนกาซา
ภาพ: VladKK / Shutterstock
อ้างอิง:
- https://www.reuters.com/world/china/gold-hits-record-high-us-china-trade-woes-escalate-silver-scales-all-time-peak-2025-10-13/
- https://www.reuters.com/business/goldman-hikes-december-2026-gold-price-forecast-4900oz-2025-10-07/#:~:text=Oct%207%20(Reuters)%20%2D%20Goldman,and%20likely%20central%20bank%20buying.