สถานการณ์สงครามการค้าโลกร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง เมื่อมาตรการภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมรอบใหม่ของสหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีผลบังคับใช้เมื่อวันพุธที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา โดยครั้งนี้ไม่มีประเทศคู่ค้าใดได้รับการยกเว้น
การเคลื่อนไหวครั้งนี้จุดชนวนให้เกิดการตอบโต้แบบทันทีทันควันจากพันธมิตรการค้าของสหรัฐฯ สร้างความตึงเครียดในเวทีการค้าโลก และส่งผลให้ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสร้างความกังวลใจให้กับบรรดาผู้บริหารระดับสูงหรือ CEO บริษัทชั้นนำ นำมาซึ่งความไม่แน่นอนในแวดวงธุรกิจระดับโลก
การตอบโต้จากนานาประเทศ
ทันทีที่มาตรการภาษีล่าสุดของทรัมป์มีผลบังคับใช้ สหภาพยุโรป (EU) ประกาศออกมาตรการตอบโต้มูลค่ากว่า 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนหน้า โดยจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ หลากหลายประเภทครอบคลุมตั้งแต่เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างเบอร์เบิน กางเกงยีนส์ ไปจนถึงสินค้าเกษตร
“ตำแหน่งงานกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น ไม่มีใครต้องการให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้” อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป กล่าว
ด้านโจนาธาน เรย์โนลด์ส รัฐมนตรีการค้าของสหราชอาณาจักร กล่าวว่า สหราชอาณาจักร “จะพิจารณาทางเลือกทั้งหมดที่มี” ในการรับมือกับสถานการณ์นี้
ขณะเดียวกัน รัฐบาลแคนาดาประกาศในวันเดียวกันว่าจะเก็บภาษี 25% สำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงสินค้าประเภทเหล็ก คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์กีฬาแคนาดา โดยแคนาดาถือเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐฯ และเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากมาตรการภาษีรอบใหม่นี้ เนื่องจากส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมไปยังสหรัฐฯ มากที่สุดถึงประมาณ 90%
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศอื่นๆ ที่เป็นซัพพลายเออร์โลหะรายสำคัญของสหรัฐฯ เช่น ออสเตรเลีย เม็กซิโก และบราซิล ยังคงไม่มีการแสดงท่าทีตอบโต้
ทรัมป์ยังดึงดันเดินหน้าขึ้นภาษี
แม้เจ้าหน้าที่ยุโรปยังคงเปิดประตูเจรจา หวังบรรลุข้อตกลงที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และมาร์ก คาร์นีย์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีแคนาดาคนใหม่ กล่าวว่า เขาพร้อมจะเจรจาข้อตกลงการค้าฉบับใหม่กับทรัมป์ ตราบใดที่สหรัฐฯ “เคารพในอำนาจอธิปไตยของแคนาดา” แต่ดูท่าว่าทรัมป์จะไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืนของตน ยังคงยืนกรานที่จะดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าต่อไป โดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมว่าจะก่อให้เกิดความผันผวนในตลาดหุ้น สร้างความปั่นป่วนวุ่นวายต่อเศรษฐกิจ และแม้จะเผชิญแรงต้านหรือเสียงคัดค้านจากผู้นำภาคธุรกิจและพันธมิตรทั่วโลก
“ภาษีนำเข้าจะนำเงินจำนวนมากมาสู่ประเทศของเรา” ทรัมป์กล่าวกับบรรดา CEO ของบริษัทชั้นนำในงาน Business Roundtable ที่กรุงวอชิงตันเมื่อวันอังคาร (11 มีนาคม) แถมยังเสริมด้วยว่า “อาจจะมีการปรับภาษีสูงขึ้นอีก” ซึ่งตอกย้ำให้เห็นว่าเขามองมาตรการภาษีนำเข้าเป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูภาคการผลิตของอเมริกา
นอกจากนี้ ทรัมป์กล่าวกับผู้สื่อข่าวในห้องทำงานรูปไข่ภายในทำเนียบขาว หลังจากที่ได้รับรายงานว่า EU และแคนาดาประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ โดยทรัมป์ยืนยันว่าเขาจะตอบโต้มาตรการของแคนาดาและ EU เช่นกัน พร้อมทั้งย้ำคำเตือนที่จะเปิดเผยแนวทางการใช้ภาษีศุลกากรตอบโต้ต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลกในเดือนหน้า
“ไม่ว่าพวกเขาจะเรียกเก็บภาษีอะไรจากเรา เราก็จะเรียกเก็บจากพวกเขา” ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว
หุ้นร่วงระนาว
ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการกำแพงภาษีสหรัฐฯ ต่ออัตราเงินเฟ้อและความเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเกิดความผันผวนอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา โดยดัชนี S&P 500 ร่วงลงสู่ภาวะปรับฐาน (Correction) ในช่วงสั้นๆ เมื่อวันอังคาร (11 มีนาคม) ซึ่งการเทขายหุ้นทำให้มูลค่าของดัชนีอ้างอิงนี้หายไปกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน
ภาคธุรกิจหวั่นวิตก
เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ทำให้หลายฝ่ายรู้สึกเดจาวู นึกย้อนกลับไปถึงปี 2018 เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยแรก ทรัมป์เคยประกาศใช้มาตรการภาษีโลหะ ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ผลิตเหล็กและอะลูมิเนียมในประเทศ แต่กลับทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ทั้งยังส่งผลกระทบให้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องมือและเครื่องจักรกลลดลงอย่างมาก
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยนักเศรษฐศาสตร์ของ Goldman Sachs ได้ปรับลดคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐฯ สำหรับปีนี้ และคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้น
ใครจะเป็นผู้แบกรับภาระภาษี?
คำถามสำคัญที่หลายฝ่ายกังวลคือ ใครจะเป็นผู้แบกรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้?
รายงานจาก Bloomberg ระบุว่า ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่าง Walmart พยายามผลักภาระต้นทุนจากภาษีของทรัมป์ไปยังซัพพลายเออร์จีน ซึ่งกลยุทธ์การเจรจาดังกล่าวกำลังถูกจับตามองจากทางการปักกิ่ง
อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยืนยันกับเหล่าผู้บริหารบริษัทชั้นนำว่าเขาจะไม่ล่าถอยจากนโยบายนี้ และคาดว่าจะมีการประกาศมาตรการภาษีเพิ่มเติม รวมถึงภาษีตอบโต้ในเดือนหน้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการค้าโลกอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ความไม่แน่นอนนี้สร้างความหวั่นวิตกให้กับผู้บริหารระดับสูง และแม้แต่พันธมิตรและผู้ช่วยของทรัมป์เอง ซึ่งรู้สึกตกใจและกังวลที่ต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงนโยบายไปมาของประธานาธิบดี
The Wall Street Journal รายงานว่า มีการโทรศัพท์สอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ของทรัมป์อย่างต่อเนื่อง และ CEO บางรายได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา “การเปลี่ยนแปลงนโยบายสุดขั้วไปมาไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง” ไมค์ เวิร์ธ CEO ของ Chevron กล่าว
ภาพ: Craig Hudson / Reuters, Jozsef Bagota via Shutterstock
อ้างอิง: