นับเป็นการเริ่มต้นตำนานบทใหม่อย่างแท้จริง เมื่อ จานลุยจิ บุฟฟอน ผู้รักษาประตูชาวอิตาลี วัย 40 ปี ตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง สโมสรฟุตบอลชั้นนำในลีกเอิง ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันศุกร์ที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยเซ็นสัญญา 1 ปีพ่วงออปชันขยายสัญญาเพิ่มอีก 1 ปี
หลังค้าแข้งกับสโมสรฟุตบอลยูเวนตุสนานถึง 17 ปีเต็ม (2001-2018) ในที่สุดหลังหมดสัญญาเบียงโคเนรีในฤดูกาลที่ผ่านมา มือกาวจอมเก๋าก็ตัดสินใจอำลาทีมเพื่อหาความท้าทายใหม่ๆ ในชีวิตการค้าแข้ง และได้เลือกปารีส แซงต์ แชร์กแมง เป็นจุดหมายปลายทาง และการจดบันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของเขา
บุฟฟอน เปิดเผยถึงความรู้สึกหลังกลายเป็นสมาชิกคนใหม่ของ The Parisians ว่า “มันเป็นความสุขที่ยอดเยี่ยมเลยละครับที่ได้ย้ายมาร่วมทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง นี่คือครั้งแรกในอาชีพการค้าแข้งของผมที่ผมตัดสินใจย้ายออกจากประเทศของตัวเอง การย้ายทีมครั้งนี้นับเป็นโปรเจกต์ที่มีความทะเยอทะยานสูง ซึ่งช่วยให้ผมตัดสินใจย้ายทีมในที่สุด
“ผมอยากขอบคุณสโมสรและท่านประธานที่เชื่อมั่นในตัวผม เพื่อก้าวเดินตามให้ทันความสำเร็จสุดมหัศจรรย์ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาของทีม ผมทราบดีว่าสโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง และแฟนบอลมีความฝันอะไร ผมจะทุ่มเททุกอย่างด้วยพละกำลัง ประสบการณ์และความกระหายชัยชนะทั้งหมดที่ผมมีเพื่อช่วยให้สโมสรบรรลุความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าไว้”
การย้ายทีมในครั้งนี้ของบุฟฟอนถือเป็นการย้ายออกมาค้าแข้งในต่างแดนเป็นครั้งแรกของเจ้าตัว หลังตลอด 23 ปีที่ผ่านมา ตำนานมือกาวจากอิตาลีลงเล่นให้กับสโมสรในประเทศบ้านเกิดมาโดยตลอด
ก่อนหน้านี้ จานลุยจิ บุฟฟอน ค้าแข้งกับปาร์มาในช่วงปี 1995-2001 ก่อนย้ายมาร่วมทีมยูเวนตุสในปี 2001 ด้วยค่าตัวที่แพงเป็นสถิติสูงสุดของผู้รักษาประตูที่ 52 ล้านยูโร (นับเป็นหน่วยเงินยูโร ค่าตัวบุฟฟอนยังแพงกว่าเอเดอร์สัน ผู้รักษาประตูทีมชาติบราซิลที่ย้ายมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ซิตี ด้วยค่าตัวราว 40 ล้านยูโรเมื่อปี 2017)
ด้านเกียรติประวัติส่วนตัว บุฟฟอนลงเล่นในแมตช์อย่างเป็นทางการให้กับทีมชาติและสโมสรไปแล้ว 1,051 นัด คว้าแชมป์ได้ถึง 23 โทรฟี หนึ่งในนั้นคือแชมป์ฟุตบอลโลกเมื่อปี 2006 กับอัซซูรี ส่วนยูฟ่าแชมป์เปียนส์ลีก ยังคงเป็นโทรฟีที่บุฟฟอนต้องการคว้ามาประดับบารมีในลำดับต้นๆ เช่นเคย เพราะอกหักกับยูเวนตุสมาถึง 3 สมัยเต็ม (2002, 20014 และ 2016)
จุดนี้เองที่ทำให้บุฟฟอนเลือกตัดสินใจย้ายมาร่วมทีมดังในลีกเอิง เนื่องจากฝั่งปารีส แซงต์ แชร์กแมง เองก็ตั้งเป้าหมายสูงสุดไว้เช่นกันว่า จะต้องคว้าแชมป์สโมสรยุโรปสมัยแรกของสโมสรมาครองให้ได้ในเร็ววันเช่นกัน
อ้างอิง: