หากทศวรรษ 1920 ที่การประท้วงเคยเดือดดาล ทศวรรษ 2020 ก็กำลังจะกลายเป็นทศวรรษแห่งความโกรธแค้น ซึ่งไม่ใช่แค่ประเทศใหญ่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น ในช่วง 5 ปีนี้ เราได้เห็นการประท้วงครั้งใหญ่ลุกลามไปทั่วเอเชีย
เริ่มตั้งแต่ในปี 2022 กรุงโคลัมโบ เกิดการประท้วงท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจครั้งเลวร้ายที่สุดของศรีลังกา นำไปสู่การล่มสลายอย่างย่อยยับของตระกูลผู้ทรงอำนาจและรัฐบาล
2 ปีต่อมา ชีค ฮาสินา นายกรัฐมนตรีบังกลาเทศ ได้หลบหนีออกจากเมืองหลวงด้วยเฮลิคอปเตอร์ หลังจากฝูงชนบุกเข้าไปในพระราชวัง กระทั่งสิ้นสุดการครองราชย์ 15 ปี
ปีนี้ 2025 ในเดือนที่ผ่านมาเพียงเดือนเดียว ทั้งอินโดนีเซียและเนปาล ที่ห้ามใช้แอปโซเชียลมีเดีย 26 ช่องทาง และฟิลิปปินส์ในวันนี้ ต่างเห็นการประท้วงบนท้องถนนของกลุ่มคนรุ่นใหม่
การประท้วงในลักษณะคล้ายคลึงกันเหล่านี้ ลุกฮือทั่วทั้งเอเชีย ยังไม่นับรวมในอียิปต์ในปี 2010 ฮ่องกงในปี 2019 และอิหร่านในปี 2022
แม้ต่างกันด้วยวัน เวลา และภาษา แต่ทั้งหมดล้วนเริ่มมาจากการจุดปะทุบนโซเชียลมีเดีย นำโดยนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ที่เบื่อหน่ายกับระบบคอร์รัปชัน และการเล่นพรรคเล่นพวกแบบเดิมๆ
“ปัจจุบัน โซเชียลมีเดียไม่ได้เป็นเพียงเว็บไซต์ บันเทิงอีกต่อไป แต่มันกลับกลายเป็นเว็บไซต์ทางการเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ หากรัฐบาลไม่สามารถทำตามสัญญาได้ โซเชียลมีเดียเป็นแพลตฟอร์มทรงพลัง นอกจากเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ยังเป็นช่องทางในการแสดงความไม่พอใจถึงการทำงานของรัฐบาล” ดร. ดี. บี. ซูเบดี อาจารย์ประจำภาควิชาสันติภาพและการศึกษาความขัดแย้ง มหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ กล่าว
โดยจะเห็นได้ว่าเมื่อเร็วๆ นี้ ในเนปาลและอินโดนีเซีย แสดงความเห็นการทำงานของนักการเมือง ผ่านแพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Instagram และ Discord ที่ได้เปิดโปงงบสวัสดิการที่ฟุ่มเฟือยของรัฐมนตรีในรัฐบาล
ตามมาด้วยวิดีโอไวรัลของคนขับรถส่งของที่ถูกรถตำรวจชนเสียชีวิต เป็นชนวนให้เกิดการประท้วง เช่นเดียวกับ ล่าสุด ชาวฟิลิปปินส์เรียกร้องให้รับผิดชอบต่อการทุจริตคอร์รัปชันมูลค่าหลายพันล้านเปโซที่รัฐบาลควบคุมงบน้ำท่วม แม้รัฐบาลจะอยู่ในขั้นสอบสวนก็ตาม
ชาวฟิลิปปินส์ ลุกฮือประท้วงรัฐบาลโกงงบน้ำท่วม
21 กันยายน ผ่านที่มา ประชาชนฟิลิปปินส์หลายหมื่นคนออกมาชุมนุมในกรุงมะนิลาและพื้นที่ต่างๆ ของประเทศ เพื่อแสดงพลังต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันในรัฐบาลปัจจุบัน
การชุมนุมที่ส่วนใหญ่เป็นไปอย่างสงบครั้งนี้นับว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่ประธานาธิบดี Ferdinand Marcos Jr. เปิดเผยเมื่อเดือนกรกฎาคมว่าโครงการควบคุมน้ำท่วมจำนวนมากของรัฐกลายเป็น “แหล่งหากินหัวคิว” ของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐ ประเด็นนี้เป็นสาเหตุหลักที่สะเทือนใจประชาชนเป็นอย่างมาก
รายงานข่าวระบุอีกว่า มีการเปิดเผยข้อมูลว่า ฟิลิปปินส์อาจสูญเสียเศรษฐกิจจากการทุจริตในโครงการควบคุมน้ำท่วมถึง 1.48 พันล้านปอนด์หรือราว 60,000 ล้านบาท ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
ขณะที่กลุ่มกรีนพีซคาดว่า ความเสียหายจากการทุจริตในปี 2023 อาจสูงถึง 13 พันล้านปอนด์ ทั้งนี้ เนื่องจากฟิลิปปินส์ต้องเผชิญกับพายุและมรสุมเฉลี่ยปีละ 20 ลูก ซึ่งโครงการเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อบรรเทาภัยพิบัติในประเทศที่มักเผชิญน้ำท่วมและพายุรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่เคยถูกนำมาใช้จริง
Francis Aquino Dee หนึ่งในแกนนำการประท้วงกล่าวว่า “ตอนนี้ประชาชนต้องทนทุกข์จากพายุและน้ำท่วม แต่กลับมีคนบางกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชันในโครงการเหล่านี้ ใช้ชีวิตหรูหราและอวดรวยบนโซเชียลมีเดีย”
แม้ตลาดการเงินฟิลิปปินส์ยังผันผวนมากนัก โดยค่าเงินเปโซยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ แต่ดัชนีหุ้นหลักปรับตัวขึ้นเกือบ 2% ในเดือนนี้
รายงานระบุว่า มีผู้ร่วมชุมนุมกว่า 1 แสนคนที่อนุสาวรีย์ People Power Monument และบริเวณศาลเจ้าใจกลางกรุงมะนิลา ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติประชาชนปี ค.ศ. 1986 ที่โค่นล้มเผด็จการ Ferdinand Marcos บิดาของผู้นำปัจจุบัน
ขณะที่ อีกประมาณ 5 หมื่นคนรวมตัวกันที่สวนสาธารณะก่อน จะเคลื่อนขบวนไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วเมือง การชุมนุมครั้งนี้ดึงดูดผู้เข้าร่วมที่หลากหลาย ทั้งนักศึกษา ผู้นำศาสนา กลุ่มเคลื่อนไหว และนักการเมืองบางส่วน โดยมีการประท้วงพร้อมกันในหลายภูมิภาคของประเทศ
Jonvic Remulla รัฐมนตรีมหาดไทยและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กล่าวในแถลงการณ์ว่า “เราจะปกป้องสิทธิของประชาชนในการชุมนุม อย่างสงบเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม แต่จะไม่ยอมให้เกิดความวุ่นวายและความรุนแรง”
รายงานข่าวระบุว่า เมื่อต้นเดือนนี้ Marcos ได้ตั้งคณะกรรมการอิสระสอบสวนการทุจริตโครงการบริหารจัดการน้ำท่วม พร้อมสั่งอายัดบัญชีธนาคารหลายร้อยบัญชีที่เกี่ยวข้อง กระทั่งญาติของเขาซึ่งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ประกาศลาออกท่ามกลางข้อกล่าวหาพัวพันการคอร์รัปชัน แม้ Marcos จะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาก็ตาม
ภาพ: NurPhoto, Ezra Acayan / Getty images
อ้างอิง: